รัฐบาลมีหน้าที่ต้องจัดบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขที่มีมาตรฐาน พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา ที่ปรึกษาสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ที่ปรึกษาสมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์ฯและโรงพยาบาลทั่วไป ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ. 2550 " มาตรา 51 บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับบริการทางสาธารณสุขที่เหมาะสมและได้มาตรฐาน และผู้ยากไร้มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลจากสถานบริการสาธารณสุขของรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการบริการสาธารณสุขจากรัฐซึ่งต้องเป็นไปอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐอย่างเหมาะสมโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายและทันต่อเหตุการณ์" (1) บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมาตรา 51 นี้ได้กำหนดให้รัฐบาลมีหน้าที่ต้องจัดบริการสาธารณสุขและป้องกันโรคติดต่ออันตรายให้แก่ประชาชนอย่างเหมาะสม เสมอภาคและได้มาตรฐาน โดยกำหนดให้ผู้ยากไร้ได้รับการรักษาพยาบาลโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ซึ่งบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้ ได้กำหนดคำว่า " สิทธิ เสมอกัน เหมาะสม ได้มาตรฐาน ทั่วถึง มีประสิทธิภาพ ผู้ยากไร้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย " "ขจัดโรคติดต่ออันตรายโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และทันต่อเหตุการณ์" ซึ่งรัฐบาลได้ทำตามสิทธิของประชาชนที่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2550 นี้แค่ไหน? คำตอบในเรื่องสิทธิในการรับบริการสาธารณสุขนี้ รัฐบาลได้ดำเนินการแบบหลายมาตรฐานดังนี้คือ รัฐบาลได้ให้สิทธิแก่ประชาชน 47 ล้านคน ทั้งเป็นผู้ยากไร้ และไม่ใช่ผู้ยากไร้ ให้ได้รับ "สิทธิ"ในการรับการรักษาพยาบาลและบริการทางสาธารณสุข โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เรียกว่าประชาชน "กลุ่มบัตรทอง" (2) แต่มีประชาชนบางกลุ่ม ไม่ได้รับสิทธิอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกับประชาชน 47 ล้านคนนี้ ได้แก่กลุ่มประชาชนประมาณ 9 ล้านคนที่เป็นลูกจ้างและต้องจ่ายเงินเดือนของตนเองทุกเดือนเข้าสมทบกับกองทุนประกันสังคม จึงจะมี "สิทธิ"ได้รับการรักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วยเท่านั้น เรียกว่า "กลุ่มผู้ประกันตน" (3) ซึ่งแม้จะจ่ายเงินสมทบทุกเดือนแล้วแต่ยังไม่สามารถรับบริการสาธารณสุขอื่นๆเช่นการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก การตรวจคัดกรองอื่นๆ และการป้องกันโรค เหมือนกับประชาชนกลุ่มบัตรทอง ยังมีประชาชนอีกกลุ่มหนึ่ง คือ "กลุ่มข้าราชการและครอบครัว" ที่ยอมทำงานในระบบราชการที่ได้รับเงินเดือนน้อย (เมื่อเปรียบเทียบผู้มีคุณวุฒิเดียวกันในภาคเอกชน) เพื่อจะได้รับสวัสดิการในการรักษาพยาบาลเมื่อตนเองและครอบครัวเจ็บป่วย ฉะนั้น ประชาชนทุกคนจึงยังไม่ได้รับการตอบสนองตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญในเรื่องการมีสิทธิ เสมอภาคและ เท่ากัน ในการรับการรักษาพยาบาลและการรับบริการสาธารณสุข ในเรื่องการบริการสาธารณสุขอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพนั้น รัฐบาลสามารถทำได้หรือเปล่า? เพื่อที่จะตอบคำถามนี้ ก็จะต้องมาวิเคราะห์ว่า โรงพยาบาลหรือหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขที่ มีอยู่ทั่วประเทศนั้น ประชาชนสามารถมารับการรักษาพยาบาลอย่างทั่วถึงทุกคนหรือไม่? และโรงพยาบาลหรือสถานบริการสาธารณสุขนั้นได้ให้การบริการแก่ประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพอย่างเท่าเทียมกันหรือไม่? สถานบริการสาธารณสุขที่รัฐบาลจัดให้มีไว้เพื่อประชาชนนั้น เริ่มจากสถานบริการระดับต้นในหมู่บ้าน เรียกว่าศูนย์สาธารณสุขชุมชน ในระดับตำบลก็จะมีสถานีอนามัย ในระดับอำเภอจะมีโรงพยาบาลชุมชน และในระดับจังหวัดก็จะมีโรงพยาบาลประจำจังหวัดขนาดเล็กเรียกว่าโรงพยาบาลทั่วไป ( ขีดความสามารถ(หรือศักยภาพ) และประสิทธิภาพของสถานบริการสาธารณสุขแต่ละระดับดังกล่าวมาแล้ว ย่อมขึ้นอยู่กับ คุณภาพและศักยภาพของบุคลากรที่ประจำทำงานในสถานที่นั้นๆ ขึ้นอยู่กับเครื่องมือ เวชภัณฑ์ครุภัณฑ์และเทคโนโลยีทางการแพทย์ และที่สำคัญที่สุดก็คือจำนวนบุคลากรที่เหมาะสมกับจำนวนประชาชนที่มารับบริการในแต่ละวันด้วย สถานบริการระดับต้นคือศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชนนั้น มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขหรือที่เรียกว่าหมออนามัยอยู่ประจำ และมีอาสาสมัครสาธารณสุข ช่วยเหลือให้ความเข้าใจแก่ประชาชนในการดูแลรักษาสุขภาพเบื้องต้น แต่ถ้าการเจ็บป่วยรุนแรง ประชาชนก็ต้องเดินทางไปยังสถานีอนามัยประจำตำบลหรือไปยังโรงพยาบาลชุมชน เพื่อจะได้รับการรักษาพยาบาลต่อไป สำหรับในสถานีอนามัยนั้น มีพยาบาลวิชาชีพอยู่ประจำ ส่วนในโรงพยาบาลชุมชนนั้นมีแพทย์อยู่ประจำ ฉะนั้นประชาชนที่เจ็บป่วยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ที่จะได้รับการรักษาพยาบาลอย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าผู้ป่วยมีอาการหนัก สถานีอนามัยหรือโรงพยาบาลชุมชน ก็จะต้องส่งผู้ป่วยไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลทั่วไป หรือโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ที่อยู่ใกล้ที่สุดต่อไป การส่งตัวผู้ป่วยจากสถานบริการสาธารณสุขหรือโรงพยาบาลนั้น จำเป็นจะต้องมีรถพยาบาล (ambulance) ที่มีเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีคุณภาพเหมาะสมกับการช่วยชีวิตผู้ป่วยในระหว่างเดินทาง รวมทั้งต้องมีแพทย์หรือพยาบาลที่มีความชำนาญในการช่วยกู้ชีพในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการทรุดหนักในขณะเดินทางในรถพยาบาลอยู่ด้วย เพื่อช่วยแก้ปัญหาให้ผู้ป่วย แต่ทั้งศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชน และสถานีอนามัย ส่วนมากนั้น ไม่มีรถพยาบาลไว้ส่งต่อผู้ป่วย ประชาชนในหมู่บ้านและตำบลต่างก็ต้องหาเช่ารถเพื่อจะนำผู้ป่วยไปรักษายังรงพยาบาลประจำอำเภอต่อไป ส่วนโรงพยาบาลชุมชน (ประจำอำเภอ)ต่างๆ อาจจะมีรถพยาบาลไว้ส่งต่อผู้ป่วย แต่กระทรวงสาธารณสุขก็มีระเบียบห้ามส่งผู้ป่วยไปนอกจังหวัดที่โรงพยาบาลชุมชนตั้งอยู่ ทั้งๆที่โรงพยาบาลชุมชนแห่งนั้นอาจจะอยู่ใกล้โรงพยาบาลจังหวัดอื่นมากกว่าโรงพยาบาลจังหวัดเดียวกัน ซึ่งทำให้ผู้ป่วยต้องเดินทางนานขึ้น อาจจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการทรุดหนักและอาจเสียโอกาสในการที่จะรอดชีวิตจากการที่จะได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วทันการณ์ และระบบการขนส่งสาธารณะเช่นรถประจำทางในตำบลและอำเภอก็อาจไม่มีบริการตลอดเวลา ประชาชนจึงต้องรับภาระในการจ่ายค่าเหมารถพาผู้ป่วยไปส่งในอำเภอ ทำให้ประชาชนต้องรับภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้นในส่วนนี้ ฉะนั้นประชาชนในหมู่บ้านและตำบล ก็ยังไม่ได้รับสิทธิเสมอกันกับประชาชนในเมือง(อำเภอหรือจังหวัด) ในการ "เข้าถึง" บริการทางการแพทย์ ในกรณีป่วยหนักที่ต้องการรับการรักษาอาการที่ยุ่งยากหรือซับซ้อน กระทรวงสาธารณสุขจึงควรจะต้องปรับปรุงระบบการส่งผู้ป่วยหนักต่อไปยังโรงพยาบาลระดับสูง ให้เหมาะสมและมีคุณภาพมาตรฐานต่อไป เพื่อให้ประชาชนในชนบทได้รับสิทธิเสมอกันกับประชาชนในเขตเมือง ในเรื่องประสิทธิภาพการรักษาพยาบาลของสถานบริการสาธารณสุขและประสิทธิภาพการรักษาพยาบาลของโรงพยาบาลต่างๆนั้น เราจะสามารถวัดได้จากอะไร? ในการตอบคำถามนี้ ประชาชนก็จะคำนึงถึงความสะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องรอนาน ปลอดภัย หายป่วย และไม่ตายโดยไม่สมควรตาย ส่วนแพทย์ พยาบาล และบุคลากรสาธารณสุขอื่นๆ ก็อาจจะคำนึงถึง จำนวนบุคลากรที่เหมาะสม ต้องดูแลรักษาผู้ป่วยในจำนวนที่ไม่มากเกินไป จนต้องรีบเร่งทำงานให้ทันเวลาเพื่อไม่ให้ประชาชนผิดหวังที่มาโรงพยาบาลแล้วไม่ได้รับการตรวจรักษา การรีบเร่งทำงานของแพทย์ทำให้เสี่ยงต่อความผิดพลาดและเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้อง จากข้อมูลการสำรวจของพญ.ฉันทนา ผดุงทศและคณะ(4) พบว่า แพทย์ในโรงพยาบาลของรัฐบาลทุกระดับ(โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลศูนย์ฯ) มีเวลาตรวจผู้ป่วยคนละ 2-4 นาทีเท่านั้น ทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ก็คงจะอยากให้มีจำนวนเตียงที่จะรองรับผู้ป่วยมีเพียงพอ การส่งผู้ป่วยต่อไปยังโรงพยาบาลระดับสูงได้รับความสะดวกรวดเร็ว มีรถพยาบาลฉุกเฉิน (ambulance) ที่มีมาตรฐาน เพื่อจะส่งผู้ป่วยไปรักษาในโรงพยาบาลระดับสูงกว่าได้อย่างปลอดภัยโดยผู้ป่วยไม่ตายกลางทาง ประชาชนที่ไปรับการรักษาพยาบาล หรือตรวจรักษาสุขภาพที่โรงพยาบาลของรัฐบาล(ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข) ก็จะทราบดีว่าเมื่อมีความจำเป็นต้อง ไปโรงพยาบาลครั้งหนึ่งต้องเสียเวลารอคอยพบแพทย์เป็นเวลาอย่างน้อย 3-4 ชั่วโมง และยังต้องรอรับยาอีกเป็นเวลาอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง รวมทั้งเวลาเดินทางไปโรงพยาบาลและเวลารอคอยในการยื่นบัตรตรวจโรคอีกอย่างน้อยครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง ถ้าต้องไปเจาะเลือด เอ็กซเรย์อีก ก็อาจต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยแห่งละ 1-2 ชั่วโมง ฉะนั้นถ้าประชาชนเจ็บป่วยต้องไปพบแพทย์ในโรงพยาบาลของรัฐบาล ก็ต้องเสียเวลาอย่างน้อย 1 วันเต็มๆ ซึ่งถ้านำไปเปรียบเทียบกับโรงพยาบาลเอกชน ก็คงจะใช้เวลาแตกต่างกันอย่างมากมายมหาศาล ทั้งนี้สาเหตุของการที่ประชาชนต้องใช้เวลานานมากในการไปรับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลของรัฐบาล ก็เนื่องจากจำนวนแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์มีน้อยกว่าจำนวนประชาชนที่ไปรับบริการ ทำให้แพทย์แต่ละคนซึ่งเป็นบุคลากรหลักในการรับผิดชอบตรวจรักษาผู้ป่วยต้องรีบเร่งตรวจผู้ป่วยให้ได้หมดทุกคน ทำให้แพทย์มีเวลาตรวจร่างกายผู้ป่วยและสั่งการรักษาให้ผู้ป่วยเพียงคนละไม่ถึง 5 นาที(4) ทำให้เสี่ยงต่อความผิดพลาดในการวินิจฉัยโรคและการสั่งการรักษา ซึ่งอาจทำให้ประชาชนเสี่ยงต่อการเกิดผลร้ายหรืออันตรายต่อชีวิตและสุขภาพ ส่วนแพทย์เองก็มีความเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องกล่าวหาทั้งทางคดีแพ่งและคดีอาญา เสี่ยงต่อการถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม เพราะแพทย์ต้องรีบทำงานตรวจร่างกายและรักษาผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว ในแต่ละวัน เพื่อให้ผู้ป่วยที่เสียเวลารอคอยนั้น ได้รับการตรวจรักษาทุกคน ( เนื่องจากภาระงานในการตรวจรักษาประชาชนมากเกินไป ) สาเหตุที่แพทย์ในโรงพยาบาลของรัฐบาลมีน้อย ก็เนื่องจากมีแพทย์ลาออกจากกระทรวงสาธารณสุขมากขึ้นๆทุกปี (5) ทั้งนี้เนื่องจากรัฐบาลโดยผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขไม่สร้างแรงจูงใจให้บุคลากรทางการแพทย์อยากจะทำงานในโรงพยาบาลของรัฐ(6) ถึงแม้กระทรวงสาธารณสุขได้บังคับให้บัณฑิตแพทย์ต้องทำงานชดใช้ทุนในโรงพยาบาลรัฐบาล 3 ปี แต่ก็ยังไม่สามารถป้องกันการลาออกของแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้แพทย์ที่ยังทำงานอยู่ในโรงพยาบาลรัฐบาลมีจำนวนน้อย ไม่สมดุลกับจำนวนผู้ป่วย จึงต้องรีบเร่งทำงาน อันจะส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อความผิดพลาด ประชาชนเสี่ยงอันตราย และแพทย์เสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้อง ซึ่งในปัจจุบันนี้ ประชาชนฟ้องร้องกล่าวหาแพทย์และโรงพยาบาลต่างๆมากขึ้น(7) และต้องการเรียกร้อง "ค่าเสียหายทางสุขภาพ" อันเกิดขึ้นหลังจากการไปตรวจร่างกายและไปรักษาสุขภาพจากโรงพยาบาลของรัฐบาล ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากแพทย์ต้องรีบเร่งตรวจร่างกายและทำการรักษาผู้ป่วยอย่างรีบเร่ง เพื่อที่จะให้ประชาชนได้รับการตรวจรักษาทุกคนที่มารอที่โรงพยาบาล แต่รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขไม่พยายามป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการฟ้องร้องแพทย์จากรากเหง้าของสาเหตุแห่ง(การเกิด)ปัญหา (Root causes) คือบริหารจัดการให้มีบุคลากรทางการแพทย์อย่างเหมาะสม และลดจำนวนการเจ็บป่วยของประชาชนโดยการให้ความรู้ในการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนมีความสามารถในการรับผิดชอบดูแลรักษาตนเองในเบื้องต้นเมื่อเจ็บป่วยได้เอง เพื่อจะลดอัตราการเจ็บป่วยและการไปพึ่งพาอาศัยบริการทางการแพทย์ทุกครั้งที่เจ็บป่วย กระทรวงสาธารณสุขพยายามที่จะแก้ปัญหาการฟ้องร้องและอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน(จากการไปรับการตรวจร่างกายและรักษาพยาบาลจากโรงพยาบาลของรัฐ) โดยการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุคือการพยายามที่จะร่างพ.ร.บ.ชดเชยผู้เสียหายทางการแพทย์พ.ศ. .... เพื่อจ่ายเงินทดแทนความเสียหายทางสุขภาพ หลังจากการไปรับการตรวจรักษาจากโรงพยาบาลแล้ว แต่ไม่พยายามหาทางป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดทางการแพทย์เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนได้รับผลเสียหายจากการไปรับบริการทางการแพทย์ ฉะนั้นในการตอบคำถามว่า รัฐบาลได้จัดให้มีบริการสาธารณสุขอย่างมีประสิทธิภาพและได้มาตรฐานตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่ ก็คงจะตอบได้ว่า ยังไม่มีประสิทธิภาพและได้มาตรฐานดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น สิ่งที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขควรรีบเร่งทำเพื่อป้องกันอันตรายและผลเสียหายต่อสุขภาพประชาชนคือ การ "พัฒนาโรงพยาบาลและสถานบริการสาธารณสุขให้มีคุณภาพมาตรฐาน" โดยการจัดสรรบุคลากรทางการแพทย์ให้มีจำนวนที่เหมาะสมกับจำนวนผู้ป่วย จัดเครื่องมือและครุภัณฑ์ทางการแพทย์ รวมทั้งรถพยาบาล ให้มีมาตรฐาน และเหมาะสม เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการทางการแพทย์ที่มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ เมื่อโรงพยาบาลของรัฐบาลมีการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานที่ดี รวมทั้งระบบการส่งต่อผู้ป่วยที่ดีแล้ว ประชาชนที่ไปโรงพยาบาลก็จะได้รับความปลอดภัยมากขึ้น คงจะทำให้ "ความเสียหายจากการไปโรงพยาบาล" ลดลง กองทุนเพื่อชดเชยผู้เสียหายก็อาจจะไม่ต้องจ่ายเงินชดเชยเลยก็เป็นได้ แต่ในขณะเดียวกัน กระทรวงสาธารณสุขก็ควรจะให้การศึกษาแก่ประชาชนเพื่อ "พัฒนาประชาชนให้มีความสามารถและมีความรับผิดชอบในการดูแลรักษาสุขภาพของตนเองและสมาชิกในครอบครัว" เพื่อที่จะลดจำนวนครั้งของการเจ็บป่วยของประชาชนและลดการใช้บริการของโรงพยาบาลและสถานบริการสาธารณสุข ซึ่งมาตรการทั้งสองอย่างนี้ จะทำให้ประชาชนได้รับความปลอดภัยในชีวิตและสุขภาพมากขึ้นเมื่อไปใช้บริการตรวจรักษาสุขภาพจากโรงพยาบาลรัฐบาล ลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ ที่อยากจะทำงานบริการประชาชนอย่างดีที่สุดตามมาตรฐานวิชาชีพ แต่คงจะทำได้ยากถ้าจำนวนผู้ป่วยไปใช้บริการมากมายจนล้นโรงพยาบาล(8)ทุกๆวันเช่นนี้ การพัฒนาโรงพยาบาลและพัฒนาประชาชนดังกล่าวแล้ว ถือเป็นหน้าที่อันสำคัญที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในฐานะผู้กำกับดูแลทั้งกระทรวงสาธารณสุขและดูแลกำกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งควรจะต้องรีบดำเนินการ เพื่อให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าได้รับสิทธิเสมอภาคในการรับบริการสาธารณสุขอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 51 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 เอกสารอ้างอิง : 1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 2. พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติพ.ศ. 2545 3. พ.ร.บ.. ประกันสังคม พ.ศ. 2533 4. ฉันทนา ผดุงทศและคณะ ชั่วโมงการทำงานของแพทยในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข วารสารวิชาการสาธารณสุข 2550 16(4) : 493-502 5. สถิติการลาออกของแพทย์ ข้อมูลจากกลุ่มบริหารงานบุคคล สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข 6. ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจลาออกของแพทย์ เอกสารสรุปข้อเสนอแนะของคณธ/วิทยาลัยแพทยศาสตร์เกี่ยวกับมาตรการให้แพทย์ปฏิบัติงานในส่วนภูมิภาค/ท้องถิ่นเพิ่มขึ้น จากสำนักงานกพ. 7. สถิติการฟ้องร้องแพทย์ สำนักงานเลขาธิการแพทยสภา 8. เชิดชู อริยศรีวัฒนา ผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล วารสารวงการแพทย์ 2551, 16:28-29 |
วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2552
รัฐบาลมีหน้าที่ต้องจัดบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขที่มีมาตรฐาน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ผู้ติดตาม
คลังบทความของบล็อก
-
▼
2009
(430)
-
▼
มิถุนายน
(326)
- ไขปริศนาคดีฆาตกรรม “พระสุพจน์” ไฉนต้องเบี่ยงประเด็...
- [netizen] วิดีโอ จากการอบรมเรื่องสื่อพลเมือง Video...
- ประชาไท | Prachatai.com
- White Ocean Strategy โลกนี้ไม่ได้มีแค่ด้านเดียว
- จับตายัดไส้งบไทยเข้มแข็ง 5.7 แสนล. พัฒนาน้ำรับเหนา...
- "อาสาดำนาเพื่อน้อง" ในวันที่ 25-26 กรกฎาคม 2552 โ...
- ทุน API Fellowships Program
- โครงการ The Rockefeller Bellagio Residency Program
- ทีโอที-CAT เร่งติดตั้งไวไฟทั่วกรุง-หัวเมือง
- คดี"212คาเฟ่"ส่อยืดศาลนัดสืบพยานเม.ย.53
- ก.ไอซีทีเดินหน้า GCC 1111 ยันใช้งบคุ้มค่า
- วิจัยศักยภาพไอซีที
- เปิดสื่อสารความถี่ใหม่
- วอนรัฐสางปมไอที (1) : ช่วยทำอะไรสักอย่างกับกูเกิล
- ‘ไอทีเอส’ ระบบขนส่งอัจฉริยะ ฝันของคนใช้…ความจริงขอ...
- หลักเกณฑ์บริการคงสิทธิเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ภา...
- "ปฏิวัติทวิตเตอร์" กรณีศึกษา"นิวมีเดีย"ที่อิหร่าน
- เปิดชื่อ "16 ส.ส.ปชป.-6 พรรคร่วม-7 ฝ่ายค้าน "ถือคร...
- ประชาไท | Prachatai.com
- อบรมฟรีกับวิศวฯ จุฬาฯ
- เปิดรายชื่อส.ว.งัดข้อรัฐบาล คว่ำพรก.สรรพสามิต-ไม่เ...
- [netizen] ใบแจ้งข่าวเครือข่ายพลเมืองเน็ต เรื่อง กา...
- "เอลโมโต" สองผสานเป็นหนึ่งเดียว
- ยูเอ็นเอชซีอาร์ รายงานจำนวนผู้ลี้ภัย และผู้พลัดถิ่...
- ทายาท 24 มิถุนา
- ดร.หนุ่มคลื่นลูกใหม่จิราธิวัฒน์
- หุ่นยนต์ นักแปลงร่าง
- สานฝัน นวัตกรรมภูมิปัญญาไทย
- ศูนย์บริการภาครัฐที่มีเสมือนไม่มี / คอลัมน์ส่องควา...
- "ทีวีไทย"จัดทัพท้าชนช่อง 3-7 มุ่งสู่สื่อสาธารณะเต็...
- "เวลคอม"เปิดเกมรุกจับมือ"ทรูมูฟ"ซื้อมือถือแถมค่าโท...
- ไมโครซอฟท์ ยอม "อียู" "วินโดวส์ 7" ไม่พ่วง "ไออี"
- 5 ปี"เจริญ วัดอักษร" จุดพลุสู้เพื่อชุมชน
- แนะนำห้องสมุดเจแปนฟาวน์เดชั่น กรุงเทพฯ รูปลักษณ์ให...
- เตือนภัย!...ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ ถูกโคลนนิ่งซิมฯ.....
- เปิดใจ "ศุภจี สุธรรมพันธุ์" ประสบการณ์และความท้าทา...
- ศึกแห่งศักดิ์ศรี การประปาฯ VS การทางพิเศษฯ เมื่อปม...
- กทช.เร่งแก้ปัญหาผูกขาดตลาดโทรคมนาคม
- "สอ เศรษฐบุตร" ตำนานดิกชันนารีไทย
- ดีกรีการเมือง"ร้อนฉ่า" "ไวรัส"ถล่มพรรคร่วม "มาร์ค"...
- ป.ป.ช.เผยอดีต"เลขาฯ สปส."ปิดข้อมูลคอมพ์ฉาวจน"บอร์ด...
- สุนทรภู่เข้าสำนักเรียนของ"ผู้ดี" วัดศรีสุดารามวรวิ...
- เผยเด็ก 3 จังหวัดชายแดนใต้ถูกละเมิดทางเพศ-ถ่ายคลิป
- รายงาน: สงครามเทคโนโลยี ในการประท้วงที่อิหร่าน
- สีสันประท้วงการเลือกตั้งในอิหร่าน จากสนามฟุตบอลสู่...
- SUI: "สงครามเน็ต" ว่อนอิหร่าน นักรบไซเบอร์แคนาดาช่...
- เสวนาสื่อหลัก V.S. สื่อทางเลือก ชวนพลเมืองทำข่าวเอง
- ตั้งแล้ว....สมาคมสมาพันธ์เครือข่ายเด็กและสตรีหูหนว...
- แฉกลเกมช่อง 3 สูบรายได้ อสมท เสียค่าโง่กว่าหมื่นล้...
- ประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทย "จอมบงการ"ความรุนแรงสา...
- วันที่ 19-21 มิ.ย.2552 เวลา 12.00-20.00 น. ที่สวนเ...
- เปิด FTA ภาคขนส่ง-โลจิสติกส์ (1) ผู้ประกอบการไทยจะ...
- เปิด FTA ภาคขนส่ง-โลจิสติกส์ (จบ) ผู้ประกอบการไทยจ...
- ลุ้นไม่ระทึกไลเซนส์ "3G" กทช. เรื่องเศร้าของค่ายมื...
- เปิดบัญชี อาวุธยุทธภัณฑ์และสิ่งที่ใช้ในการสงคราม ห...
- เปิดไส้ในเงินกู้ปั๊มศก.เฟสแรก 2 แสนล.ลงทุนแหล่งน้ำ...
- ตราไปรษณียากร ชุด 60 ปี ความสัมพันธ์ไทย-ฟิลิปปินส์
- ทำไม?คนไฟฟ้า นครหลวงชอบหม้อ.!
- ลั่น 4 เดือนผุด "เขื่อนไม้ไผ่"กู้แผ่นดิน
- ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด (2) / ทางเสือผ่าน
- NBC: Thai tabloids lurch btwn lurid and deferentia...
- บันทึกสมุดสีแดง (2) ว่าด้วย : สื่อ การสร้างสื่อและ...
- สภาที่ปรึกษาฯ : สภาที่ไม่ยอมเรียนรู้
- ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ติงสื่อไม่ควรเล่นกับ...
- วิทยุชุมชน: การมีส่วนร่วมของประชาชนในสื่อเพื่อชีวิ...
- ทุจริตสหกรณ์ห้วยบางทรายไม่จบ! รัฐล้มประชุมอ้างผิดก...
- แม่หญิงลาว...เธอผู้น่าสงสาร
- แรงงานพม่าที่แม่สอดสนใจข่าว ออง ซาน ซูจี
- รัฐสวัสดิการด้านสุขภาพ: ตรวจสอบระบบหลักประกันสุขภาพ
- "คพช." เสนอ รัฐบาล และทหารทบทวน "นโยบายการเมืองนำก...
- สถาบันอิศรา: รัฐไขปมใต้เดือดระลอกใหม่ กับคำถามถึงค...
- เครือข่ายพลเมืองเน็ต แจ้งข่าวการดำเนินคดี พ.ร.บ.คอ...
- บทบรรณาธิการ TIME: Twitter และสื่อใหม่ กำลังเปลี่ย...
- ประชาไท | Prachatai.com
- ซิมโฟนี 80 ปี จิตร ภูมิศักดิ์ "คนยังคงยืนเด่นโดยท้...
- 6 ว่าที่"ตุลาการศาล ปค.สูงสุด
- สนามบิน"เกาหลีใต้"คว้าที่ 1 ดีสุดในโลก เฉือนชนะฮ่อ...
- กก.สมานฉันท์เห็นชอบ"เลิกยุบพรรค-เพิ่มโทษคนทำผิด"
- "อัษฎางค์"จี้มท.สังคายนา ราชการภูมิภาค"แต่งตั้ง-เล...
- แผนกู้ 4 แสนล.เคลื่อนจีดีพีลบเกิน 4%
- "เรืองไกร"ร้องกกต.ใช้เงินกองทุนมิชอบ ชี้เปิดอบรมส....
- ตั้งกก.ศึกษารถเมล์ 4 พันคัน ป.ป.ช.ลุยเอง สภาพัฒน์ฯ...
- เตรียมดันร่างยุทธศาสตร์จัดการปัญหาบุคคลไร้สัญชาติ ...
- ใช้เป็น-รักษาดี 'ล้ำค่า' 'ฐานชีวภาพ' 'ขุมทรัพย์' ใ...
- พินัยกรรมชีวิต สิทธิการตาย...เลือกได้
- เว็บมาสเตอร์กับการกระทำผิดบนเน็ต : ความซับซ้อน และ...
- [netizen] บทความ : เว็บมาสเตอร์กับการกระทำผิดบนเน็...
- "เรืองไกร" ยื่น ป.ป.ช.สอบ กกต.ใช้เงินกองทุนพัฒนาพร...
- ก.เกษตรฯ เล็งของบ. 90 ล้าน เผาทำลายลำไยอบแห้ง
- เปิดรายงาน สตง.ชำแหละ"บ้านเอื้ออาทร" มรดกบาป"ทักษิ...
- ลำดับเหตุการณ์ประท้วง ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน เมษาย...
- ยานเกราะยูเครนจอดสนิท วิ่งเต้นกองทัพบกขอเปลี่ยนสเป...
- ชิงเค้กแสนล้านโครงการ"ไทยเข้มแข็ง"เพื่อ"นักการเมือ...
- 6 หน่วยสางปัญหารถ-เรือดับเพลิง "สุขุมพันธุ์" ชงเว้...
- ยธ.ชู "5 รั้วล้อมไทย พ้นภัยยาเสพติด" สกัดลอบขนยาแน...
- ส.ส.ใต้ ปชป.ฟันธง มือมืดสร้างสถานการณ์ไฟใต้ระอุ ลั...
- เลือกเสื้อผ้าให้เหมาะกับสีผิว
- 'ชิราคาวา-โก' หมู่บ้านในตำนาน
- การทาบกิ่งมะม่วงแนวใหม่
- จัดโซนทำเกษตรอินทรีย์ 100%
-
▼
มิถุนายน
(326)
เกี่ยวกับฉัน
- Net
- http://facthai.wordpress.com/ ต้องรู้เท่าทันในการรับรู้ข่าวสารจากทุกแหล่งข่าว/ FACT - Freedom Against Censorship Thailand กลุ่มเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์แห่งประเทศไทย http://facthai.wordpress.com/ http://twitter.com/jiew
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น