From: ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์ <service@prachatai.com>
Date: มิ.ย. 11, 2009 5:02 ก่อนเที่ยง
Subject: ประชาไท | Prachatai.com
To:
ประชาไท | Prachatai.com |
- กระทรวงยุติธรรม ตั้งศูนย์ข้อมูลความมั่นคงจังหวัดภาคใต้
- ครส. ออกแถลงการณ์แนะรัฐใช้ยุทธศาสตร์การเมืองนำการทหาร แก้วิกฤติการณ์ความรุนแรงที่ภาคใต้
- “สนมท.” ประณามคนร้าย เหตุการณ์กราดยิงผู้บริสุทธิ์ในมัสยิดอัลฟุรกอน
- แฮรี่ นิโคไลดส์ : กล้วยที่แพงที่สุดในประเทศไทย
- สมัชชาคนจน “หัวนา-ราษีไศล” ยืนยัน อยู่ยาวจนกว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไข
- เปิดโต๊ะเจรจา สมัชชาคนจน “หัวนา-ราษีไศล” กับ “กรมชลฯ” ได้ข้อตกลงเบื้องต้น
- เครือข่ายชนเผ่าเหนือระบุ ใช้การผลักดัน "โฉนดชุมชน" จัดขบวนใหม่
- ถึงเวลาแล้วที่ DKBA และ KNU ต้องหันมาสามัคคี
- รายงาน: ชีวิตของพนักงานเวิลด์เวลล์การ์เมนท์ที่ถูกเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรม
- “คปท.” แจงข้อเท็จจริง กรณีชิงแผ่นดิน อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์
- ‘บก.ฟ้าเดียวกัน’ เข้าให้ปากคำ ตร.-อัยการ ฐานะพยานคดีหมิ่นฯ ในเว็บบอร์ด
- วิทยุชุมชน: การมีส่วนร่วมของประชาชนในสื่อเพื่อชีวิตและสังคมท้องถิ่น
- บทบรรณาธิการ TIME: Twitter และสื่อใหม่ กำลังเปลี่ยนวิธีสื่อสารของเรา
- Deep South watch: มิถุนายน –แนวโน้มไฟใต้และวงรอบของความรุนแรงกระหน่ำซ้ำ
กระทรวงยุติธรรม ตั้งศูนย์ข้อมูลความมั่นคงจังหวัดภาคใต้ Posted: 10 Jun 2009 02:45 PM PDT <!--break--> ที่กระทรวงยุติธรรม นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีและโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และนายสมโชค บุญกำเนิด รองผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ร่วมแถลงข่าวถึงการตั้งศูนย์ข้อมูลความมั่นคงจังหวัดภาคใต้ โดยได้นำเครื่องจีทีสแกน ซึ่งสามารถสแกนร่องรอยสารเสพติด ระเบิดและอาวุธปืน มาประกอบการแถลงข่าว นายชาญเชาว์ กล่าวว่า ศูนย์ข้อมูลความมั่นคงจังหวัดภาคใต้ เป็นการทำงานร่วมกันของผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการพิสูจน์หลักฐาน ดีเอ็นเอ สารพันธุกรรม วัตถุพยานในการคลี่คลายคดี และผู้เชี่ยวชาญจากดีเอสไอ ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการประมวลข้อมูลมีความถนัดด้านการสื่อสารอิเล็กทรอนิคส์ และด้านการสืบสวนสอบสวน ทั้ง 2 หน่วยงานเอามารวมกันในส่วนนี้ หากทหารในพื้นที่สงสัยได้เบาะแสมาเบื้องต้นต้องการขยายผล ก็ติดต่อมาที่ศูนย์ข้อมูลฯ โดยไม่ใช่หน่วยปฏิบัติ ยกเว้นจะมีการขอให้เข้าไปที่เกิดเหตุ “ผมต้องสร้างศูนย์ข้อมูลฯ นี้ขึ้นมาเพื่อให้การข่าวจับต้องได้และโปร่งใส เป็นเทคนิคในการบริหารกระบวนการยุติธรรมทางอาญา เพราะถ้าเราปล่อยให้การข่าวเป็นเรื่องการสืบสวนเพียงอย่างเดียวและเป็นการซื้อข่าวโดยไม่มีการจัดระบบ จะเป็นสิ่งที่ไม่มีหลักประกันให้กับประชาชน การจัดระบบฐานข้อมูลเป็นวิธีหนึ่งในการสร้างสมดุลและถ้าพัฒนาสำเร็จจะพัฒนาเป็นการสร้างศูนย์ข้อมูลอาชญากรรม คราวนั้นจะเป็นพยานหลักฐานได้ เราจะไม่ปล่อยให้งานด้านการข่าวเป็นเรื่องของการซื้อข่าว ลอยลม หรือเป็นสายลับ นี่เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการบริหารจัดการเพื่อความโปร่งใส” นายชาญเชาว์กล่าว นายชาญเชาว์ กล่าวด้วยว่า ประชาชนที่ให้ข้อมูลเป็นเบาะแสกับศูนย์ฯ จะเป็นการให้ข้อมูลในทางลับ หากมีการเปิดเผยหรือต้องไปเบิกความต่อศาลเป็นพยานให้การพนักงานสอบสวน ก็จะมีการคุ้มครองพยานชัดเจน ส่วนการรวบรวมข้อมูลทุกประเภท ในส่วนงานนิติวิทยาศาสตร์ มี 2 ด้านประกอบด้วยการพิสูจน์ที่สามารถยืนยันได้เลยว่าคนร้ายคือใครและอีกด้านหนึ่ง เมื่อพิสูจน์แล้วอาจไม่ใช่พยานหลักฐานที่ศาลจะลงโทษได้ทันทีและเป็นเพียงแต่การชี้ช่อง ดังนั้นประโยชน์สูงสุดที่ชาวบ้านจะได้ จึงต้องเอามารวมกันระหว่างคนที่เชี่ยวชาญด้านการสืบสวนสอบสวนและคนที่เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งไม่ใช่นิติวิทยาศาสตร์บอกอะไรแล้วแปลว่าใช่เลย “ในฐานข้อมูล ไม่ได้หมายความว่าทุกคนเป็นคนร้ายหมด ยกตัวอย่างเรื่องการติดต่อสื่อสาร ผมทำงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้มา 7 ปี เป็นไปได้ว่าเบอร์โทรศัพท์ผมก็อยู่ในนั้น เพราะฉะนั้นงานศูนย์ข้อมูลไม่ใช่ศูนย์ข้อมูลอาชญากรรม ชาวบ้านต้องมั่นใจ จึงต้องเน้นย้ำว่าข้อมูลหมายถึงอะไร ไม่ใช่ข้อมูลอาชญากรรม และไม่ใช่เหวี่ยงแหกับพี่น้องประชาชนไปเสียทุกคน วันนี้เราจะทำให้เห็นเลยว่าเรามีความโปร่งใส เป็นส่วนหนึ่งของงานการข่าว ฉะนั้นคนที่เอาประโยชน์ไปจากฐานข้อมูลของเราต้องเข้าใจตรงนี้” นายชาญเชาว์กล่าว ถามถึงวิธีการรวบรวมข้อมูลของดีเอสไอว่ารวมถึงการดักฟังโทรศัพท์ซึ่งอาจละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหรือไม่ นายชาญเชาว์ กล่าวว่า “ที่มาของฐานข้อมูลต้องได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย ถ้าเป็นข้อมูลที่ได้มาจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเราไม่ถือว่าเป็นฐานข้อมูลในนี้” ด้าน พ.ต.อ.ณรัชต์ กล่าวว่า เรื่องความมั่นคงกับสิทธิเสรีภาพต้องสมดุลกัน ถ้าในกรุงเทพฯ มีเหตุการณ์ปกติ ตำรวจทั่วไป กฎหมายธรรมดาดูแลได้ก็ว่าไป แต่เขตพื้นที่ภาคใต้มีการประกาศกฎอัยการศึก โดยหลักสากลเขาก็ต้องยอมแลกสิทธิเสรีภาพบางอย่างเพื่อควบคุมอาชญากรรม พ.ต.อ.ณรัชต์ กล่าวว่า นับตั้งแต่มีเหตุการณ์ปล้นปืน เมื่อปี 2547 ดีเอสไอเริ่มสืบสวน รวมพยานจัดโครงสร้างกลุ่มงานความมั่นคง ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ภาคใต้อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการทำงานในคดีพิเศษ 3-4 คดี ซึ่งเป็นที่สนใจ อาทิ คดีปล้นปืน ได้มีการออกหมายจับผู้ต้องหากับพวก คดีระเบิดหน้าโรงแรม ซี เอส ปัตตานี รวมถึงเหตุระเบิดในภาคใต้หลายแห่ง ภายหลังจากส่งเจ้าหน้าที่ไปทำงานร่วมกับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ทหารและตำรวจ ทางดีเอสไอก็ได้พบตัวตนของตัวเองที่เป็นจุดแข็ง คือความเชี่ยวชาญชำนาญในการวิเคราะห์ความเชื่อมโยงในการรวบรวมข้อมูลการติดต่อสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ สื่อดิจิตอล ที่เชื่อมโยงผู้ต้องสงสัยที่เข้าข่ายกระทำความผิด ขณะนี้มีฐานข้อมูลที่ใหญ่พอสมควรในการวิเคราะห์ข้อมูลส่งให้หน่วยงานความมั่นคงที่ร้องขอมา และต่อมามีสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ที่ทำงานร่วมกัน เคียงบ่าเคียงไหล่ตำรวจ ทำให้เกิดการบูรณาการและได้รับความน่าเชื่อถือสูงมาก นายสมโชค กล่าวว่า เครื่องจีทีสแกน สามารถตรวจสารเสพติด สารระเบิด หรือดีเอ็นเอผู้กระทำผิด ซึ่งนับแต่เกิดเหตุที่กรือเซะ และตากใบ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ก็ได้ลงไปช่วยเก็บข้อมูลกรณีภาคใต้ เริ่มเก็บดีเอ็นเอและวัตถุพยานขึ้นมาอย่างเป็นกิจจะลักษณะ จนขณะนี้เก็บมาแล้ว 22,193กรณี เป็นดีเอ็นเอที่มาจากตัวบุคคล 21,391 รายการและดีเอ็นเอจากวัตถุพยาน 802 รายการ ส่วนการใช้เครื่องมือตรวจสอบทางด้านนิติวิทยาศาสตร์นั้น บอกได้เพียงว่ามีสารปนเปื้อนหรือไม่ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าผู้เกี่ยวข้องสุจริตหรือไม่ เพราะขึ้นอยู่กับการสืบสวนสอบสวน นอกจากนั้น เมื่อเกิดเหตุระเบิด ทางนิติวิทยาศาสตร์ ก็สามารถใช้อุปกรณ์เครื่องมือช่วยเจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้ว่าจะมีเหตุระเบิดซ้ำอีกหรือไม่ “ในการปิดล้อมตรวจค้น ทางสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ไม่มีความเชี่ยวชาญเชิงกฎหมาย ที่อยู่ๆ เราจะดิ่งเข้าไปปิดล้อมตรวจค้นและตามอำนาจหน้าที่ของเราไม่ชัดขนาดนั้น แต่เราไปในฐานะผู้ช่วยของพนักงานสอบสวน ผู้ช่วยของทหารในภาคใต้ โดยเมื่อเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจปิดล้อมก็ขอความร่วมมือเรา ในฐานะผู้ชำนาญการ ในที่สุดได้ดีเอ็นเอ บางครั้งเจอโทรศัพท์ เจอสารระเบิด เจอเทปพันสายไฟที่พันระเบิด รวมทั้งบุคคลต้องสงสัย เราเก็บเอามาเป็นฐานข้อมูลทั้งสิ้น เราเก็บมาตั้งแต่กรณีตากใบ วันดีคืนดี เราพบว่ามี นาย ก.นาย ข. ตั้งแต่รุ่นตากใบในปี 2547-48 วันดีคืนดี ณ ปี 2549-2550 เราไปพบดีเอ็นเอของคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุในการวางระเบิดบ้าง ในบ้านหลังหนึ่งบ้าง ตรวจพบดีเอ็นเออันเดียวกับของนาย ก. นาย ข. เป็นการบ่งชี้ว่าอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับกลุ่มที่เริ่มทำงานที่ตากใบและเริ่มมากระจายงานในพื้นที่ต่างๆ ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ อันนี้คือสิ่งที่โยงกันเป็นระบบ ค่อนข้างเห็นชัด ส่วนสถิติปี 2552 ที่ผ่านมา งานต่างๆ มีเยอะที่ไปช่วยทหารออกตรวจข้อมูล เก็บข้อมูลผู้ต้องสงสัย 900 กว่าคน ซึ่งเต็มใจให้เก็บข้อมูลเพื่อพิสูจน์ว่าไม่ได้ทำผิด ซึ่งคนที่ถูกเก็บดีเอ็นเอ ก็ระวังตัวเอง ไม่ไปทำผิดแน่นอนและได้ฝึกคนเหล่านี้ตรวจดีเอ็นเอด้วยเพราะเจ้าหน้าที่ของเราไม่พอ พบพานวัตถุซึ่งเป็นสารระเบิดและยาเสพติด 6 พันกว่ารายการ และสารประกอบวัตถุระเบิดอีก 6 ร้อยกว่า สารเสพติดอีก 177 รายการ รวมทั้งบุคคลสูญหาย อีก ปัจจุบันเรามีสาระบบ 149 รายการเฉพาะภาคใต้ ทั้งหมดนี้คือสาระที่ทำอยู่ ขอยกตัวอย่างเคสที่มีการเก็บและพบข้อเท็จจริงสามารถโยงมาจับกุมคนในการดำเนินคดีได้ คดีแรกลอบวางระเบิดทางรถไฟ ส่งผลให้มีการบาดเจ็บและเสียชีวิตที่ จ.นราธิวาส ซึ่งผลการตรวจฐานข้อมูลวัตถุพยานครั้งแรก พบว่าดีเอ็นเอหรือสารพันธุกรรมไปตรงกับผู้ต้องสงสัยที่ร่วมชุมนุมที่ตากใบ แล้วต่อมาได้ไปแจ้งพนักงานสอบสวนเข้าควบคุมดำเนินคดีตามขั้นตอน ตัวอย่างที่ 2 คือการส่งจดหมายข่มขู่ชาวบ้าน พอตรวจได้ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ส่งจดหมายได้แลบลิ้นเลียซองก่อนปิดซอง แล้วตรงนั้นเอามาสกัดเป็นดีเอ็นเอส่วนบุคคลได้หรือแสตมป์ก็ด้วย ในที่สุดตรวจพบว่าเป็นวัตถุพยานที่ส่งจากเหตุการณ์ต่างๆ ใน จ.นราธิวาส ผลจากการปิดล้อมตรวจค้นเลยนำเอาบุคคลผู้ต้องสงสัยทั้งครอบครัวมาตรวจดีเอ็นเอแล้วจึงพบข้อเท็จจริงว่าเป็นดีเอ็นเอของคนในบ้านไหน อีกรายการหนึ่งคือเทปกาวที่พันระเบิดมีลายนิ้วมือติด ก็นำมาสกัดพบโยงใยกับกลุ่มคนที่ปฏิบัติงานด้านนี้ในที่อื่นๆ สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นใคร” นายสมโชคกล่าว เมื่อถามถึงกรณีเหตุระเบิดล่าสุดในภาคใต้ พ.ต.อ.ณรัชต์ กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ได้ตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรมต่างๆ ส่วนดีเอสไอได้ทำงานด้านการติดต่อสื่อสาร แต่ไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ว่าทำอะไร เพื่อไม่ต้องการให้คนร้ายรู้เท่าทัน ส่วนกรณีเหตุระเบิดเมื่อ 2 วันที่แล้วก็คงมีการทำงานร่วมกัน แต่ชั้นนี้อาจจะเร็วเกินไปยังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะเรียนให้ทราบได้ว่าเราวิเคราะห์ฟันธงได้ว่าเกิดอะไร ด้านเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ซึ่งปฏิบัติงานในพื้นที่ กล่าวว่า กรณีที่เจาะไอร้อง เมื่อฝ่ายข่าวสืบสวนมาได้ว่ากลุ่มใดต้องสงสัย ก็จะหาข้อมูลส่งมาให้เราวิเคราะห์เครือข่ายเพื่อเข้าปิดล้อมตรวจค้นเครือข่าย เพื่อตรวจสอบหาการกระทำผิดให้ได้ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ามีกี่เครือข่าย เจ้าหน้าดีเอสไอ กล่าวว่า ฐานข้อมูลเก็บจากคดีพิเศษ อาทิยาเสพติด จากนั้นทำการเชื่อมโยงติดต่อขยายผลมาเรื่อยๆ ซึ่งจริงๆ แล้วจะเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ โดยมีการเชื่อมกันอยู่โดย ไม่สามารถบอกเป็นจำนวนเครือข่ายได้ แต่เป็นกลุ่มก้อนใหญ่ อย่างไรก็ตาม ไม่ได้ชี้ชัดจากพยานหลักฐานว่าเครือข่ายยาเสพติดเกี่ยวข้องกับการก่อความไม่สงบในพื้นที่ เพราะระบุได้เพียงว่ามีการติดต่อกัน |
ครส. ออกแถลงการณ์แนะรัฐใช้ยุทธศาสตร์การเมืองนำการทหาร แก้วิกฤติการณ์ความรุนแรงที่ภาคใต้ Posted: 10 Jun 2009 01:45 PM PDT <!--break--> (9 มิ.ย. 52) คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.) ออกแถลงการณ์ “วิกฤติการณ์ความรุนแรงที่ภาคใต้ กรณี 11 ศพที่มัสยิดอัลกูลกร” (บางแหล่งที่มาอ่าน มัสยิดอัลฟุรกอน) จากเหตุการณ์คนร้ายไม่ทราบฝ่ายและสังกัดใช้อาวุธสงครามกราดยิงมัสยิดอัลกูลกร ที่หมู่บ้านไอปาแย ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ขณะชาวบ้านกำลังทำพิธีละหมาดตามความเชื่อทางศาสนา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 11 ราย และมีประชาชนได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก เมื่อเวลาประมาณ 20.30 น. ของวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ดำเนินการตรวจสอบและสอบสวนข้อเท็จจริงดังกล่าวอย่างเร่งด่วน เพื่อนำผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรมให้ได้ เพราะสถานการณ์ดังกล่าวถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายและอาจนำมาสู่สถานการณ์ที่ยากควบคุมในอนาคต ทั้งยังมีหลายเหตุการณ์ในอดีตที่เจ้าหน้าที่รัฐมาเป็นคู่กรณีความขัดแย้งในการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือคุกคามเสียเอง หลายกรณียังไม่ถูกคลี่คลายความเคลือบแคลงความสงสัยหรือได้รับความผิดตามกระบวนการยุติธรรม จนทำให้กระบวนการยุติธรรมล้มเหลวในการนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ เยียวยาผู้ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงในพื้นที่ความไม่สงบ ดังเช่นกรณีตากใบ พร้อมให้รัฐบาลปฏิรูปการทำงานของกองทัพในพื้นที่ เพราะเป็นที่ชัดเจนว่าในขณะนี้ยังใช้นโยบายการทหารนำการเมือง โดยกองทัพมีอำนาจเด็ดขาดทั้งด้านการทหารและการพัฒนาที่ควรเป็นหน้าที่ของฝ่ายพลเรือน และควบคุม-กำกับการทำงานของกองทัพอย่างใกล้ชิด เพื่อให้นโยบายการแก้ปัญหาของรัฐบาลมีเอกภาพ ไม่มีหน่วยย่อยในการปฏิบัติการตามภารกิจที่สร้างความสับสนและเข้าใจผิด ไม่ให้เกิดข้อครหาว่าบางเหตุการณ์มีเจ้าหน้าที่และกลุ่มผลประโยชน์เกี่ยวข้อง เพราะเหตุการณ์ในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำของผู้ก่อการร้ายกลุ่มใดก็ตาม แต่ข้ออ้างของกองทัพก็ยังไม่สามารถสร้างความน่าเชื่อและความไว้วางในในพื้นที่ได้ ทั้งนี้ การที่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้ในพื้นที่ ถือเป็นความบกพร่องอย่างร้ายแรงที่สุด และไม่มีทางที่จะสร้างความน่าเชื่อถือได้เลย หากยังทำงานแบบลูบหน้าปะจมูกในปัจจุบันนี้ หรือปล่อยให้เจ้าหน้าที่ที่กระทำผิดลอยนวลในอดีตที่ผ่านมา “คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.) เห็นว่า รัฐบาลจะต้องปฏิรูปกองทัพและการทำงานในพื้นที่อย่างเร่งด่วน ภายใต้หลักนิติรัฐ กระบวนการยุติธรรมและหลักการสิทธิมนุษยชน ให้รัฐบาลพลเรือนมีอำนาจเต็มในการกำกับดูแลกองทัพ และเสริมสร้างความเข้มแข็งของการปกครองโดยพลเรือน โดยใช้ยุทธศาสตร์การเมืองนำการทหาร และให้มีการทบทวนและประเมิน พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ดังกล่าวอย่างจริงจัง” แถลงการณ์ระบุ แถลงการณ์คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.) วิกฤติการณ์ความรุนแรงที่ภาคใต้ กรณี 11 ศพที่มัสยิดอัลกูลกร สืบเนื่องจากสถานการณ์ความรุนแรงและไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่รัฐบาลและกองทัพยังไม่สามารถแก้ไขเยียวยาสถานการณ์ได้ โดยล่าสุดเกิดเหตุการณ์ละเมิด-คุกคาม-ทำลายสิทธิมนุษยชนครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยคนร้ายไม่ทราบฝ่ายและสังกัดใช้อาวุธสงครามกราดยิงมัสยิดอัลกูลกร ที่หมู่บ้านไอปาแย ตำบลจวบ อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ขณะชาวบ้านกำลังทำพิธีละหมาดตามความเชื่อทางศาสนา เมื่อเวลาประมาณ 20.30 น. ของวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมานั้น เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 11 ราย และมีประชาชนได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.) ขอประณามผู้กระทำการอย่างโหดร้ายป่าเถื่อนดังกล่าว ไม่ว่าจะมาจากการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบกลุ่มใด หรือบุคคลใด การฆาตกรรมหมู่อย่างโหดร้ายรุนแรงครั้งนี้ ถือเป็นสัญลักษณ์ของความบกพร่องของรัฐบาลและความล้มเหลวของกองทัพในการควบคุมสถานการณ์และแก้ปัญหาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังไม่สามารถสร้างความไว้วางใจแก่ประชาชนในพื้นที่ได้ แม้ว่าโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าจะออกมาแถลงว่า ยังไม่ทราบว่าเป็นการกระทำของกลุ่มใด และยืนยันว่าไม่ใช่การกระทำเพื่อสร้างสถานการณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐอย่างแน่นอน แต่อาจเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบเพื่อโยนความผิดให้เจ้าหน้าที่รัฐหรือเป็นเสี้ยมให้ประชาชนขัดแย้งกันเองก็ตาม คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.) ซึ่งได้ติดตามสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มาโดยตลอด มีความเห็นและข้อเรียกร้องดังนี้ 1. ขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ดำเนินการตรวจสอบและสอบสวนข้อเท็จจริงดังกล่าวอย่างเร่งด่วน เพื่อนำผู้กระทำการฆาตกรรมหมู่ครั้งนี้มาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรมให้ได้ เพราะสถานการณ์ดังกล่าวถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายและอาจนำมาสู่สถานการณ์ที่ยากควบคุมในอนาคต ท่ามกลางรอยร้าวที่ยากสมานท์ในพื้นที่และความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประชาชน ตลอดจนเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชนที่ไม่สามารถสร้างความน่าเชื่อถือในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ ทั้งยังมีหลายเหตุการณ์ในอดีตที่เจ้าหน้าที่รัฐมาเป็นคู่กรณีความขัดแย้งในการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือคุกคามเสียเอง หลายกรณียังไม่ถูกคลี่คลายความเคลือบแคลงความสงสัยหรือได้รับความผิดตามกระบวนการยุติธรรม จนทำให้กระบวนการยุติธรรมล้มเหลวในการนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ เยียวยาผู้ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงในพื้นที่ความไม่สงบ ดังเช่นกรณีตากใบ เป็นต้น 2. ขอให้รัฐบาลปฏิรูปการทำงานของกองทัพในพื้นที่ เพราะเป็นที่ชัดเจนว่าในขณะนี้ ยังใช้นโยบายการทหารนำการเมือง โดยกองทัพมีอำนาจเด็ดขาดทั้งด้านการทหารและการพัฒนาที่ควรเป็นหน้าที่ของฝ่ายพลเรือน และควบคุม-กำกับการทำงานของกองทัพอย่างใกล้ชิด เพื่อให้นโยบายการแก้ปัญหาของรัฐบาลมีเอกภาพ ไม่มีหน่วยย่อยในการปฏิบัติการตามภารกิจที่สร้างความสับสนและเข้าใจผิด ไม่ให้เกิดข้อครหาว่าบางเหตุการณ์มีเจ้าหน้าที่และกลุ่มผลประโยชน์เกี่ยวข้อง เพราะเหตุการณ์ในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำของผู้ก่อการร้ายกลุ่มใดก็ตาม แต่ข้ออ้างของกองทัพก็ยังไม่สามารถสร้างความน่าเชื่อและความไว้วางในในพื้นที่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ยังไม่สามารถสร้างเครดิตให้เกิดความไว้วางใจได้ ทั้งจากความไม่เที่ยงธรรม การเลือกปฏิบัติ หรือการ ไม่ลงโทษเจ้าหน้าที่ที่กระทำผิด ทั้งนี้ การที่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้ในพื้นที่ ถือเป็นความบกพร่องอย่างร้ายแรงที่สุด และไม่มีทางที่จะสร้างความน่าเชื่อถือได้เลย หากยังทำงานแบบลูบหน้าปะจมูกในปัจจุบันนี้ หรือปล่อยให้เจ้าหน้าที่ที่กระทำผิดลอยนวลในอดีตที่ผ่านมา คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.) เห็นว่า รัฐบาลจะต้องปฏิรูปกองทัพและการทำงานในพื้นที่อย่างเร่งด่วน ภายใต้หลักนิติรัฐ กระบวนการยุติธรรมและหลักการสิทธิมนุษยชน ให้รัฐบาลพลเรือนมีอำนาจเต็มในการกำกับดูแลกองทัพ และเสริมสร้างความเข้มแข็งของการปกครองโดยพลเรือน โดยใช้ยุทธศาสตร์การเมืองนำการทหาร และให้มีการทบทวนและประเมิน พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ดังกล่าวอย่างจริงจัง 9 มิถุนายน 2552 แถลงโดย นายเมธา มาสขาว เลขาธิการ ครส.
|
“สนมท.” ประณามคนร้าย เหตุการณ์กราดยิงผู้บริสุทธิ์ในมัสยิดอัลฟุรกอน Posted: 10 Jun 2009 11:34 AM PDT <!--break--> 10 มิ.ย.52 สมาพันธ์นิสิตนักศึกษามุสลิมแห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์ ประณามการกระทำอันโหดเหี้ยมและไร้มนุษยธรรมของคนร้ายที่กราดยิงผู้บริสุทธิ์ ที่กำลังปฏิบัติศาสนกิจในมัสยิดอัลฟุรกอน จ.นราธิวาส โดยกล่าวถึงเหตุการณ์กลุ่มคนร้ายใช้อาวุธปืนสงคราม ทั้งเอ็ม 16 และปืนลูกซอง ระดมยิงเข้าไปในมัสยิดอัล- ฟุรกอน หมู่ที่ 8 บ้านไอปาแย ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ในคืนวันที่ 8 มิ.ย.2552 เวลาประมาณ 20.30 น.ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านกำลังทำพิธีละหมาด เป็นเหตุให้มีผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตมากถึง 11 คนและได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 13 คน โดยหนึ่งในผู้เสียชีวิตคือโต๊ะอิหม่ามประจำมัสยิด ซึ่งเป็นผู้นำทางด้านศาสนา แถลงการณ์ระบุด้วยว่า เหตุการณ์ในครั้งนี้ นับว่าเป็นสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่สร้างความสูญเสียต่อ ชาวมุสลิมมากที่สุดอีกเหตุการณ์หนึ่งในรอบ 5 ปี ซึ่งถือเป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมอำมหิตและไร้มนุษยธรรมอย่างที่สุด ที่ไม่เพียงแต่สร้างหวาดกลัว เศร้าโศก และหดหู่ใจอย่างแสนสาหัสต่อผู้สูญเสียและชาวบ้านในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อชาวบ้านในจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งหมดอีกด้วย “สมาพันธ์นิสิตนักศึกษามุสลิมแห่งประเทศไทย (สนมท.) ขอประณามอย่างรุนแรงต่อการกระทำที่โหดเหี้ยมอำมหิตและไร้ซึ่งมนุษยธรรมของ กลุ่มคนร้ายที่กระทำต่อชาวมุสลิมผู้บริสุทธิ์ในครั้งนี้ และขอเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและชี้แจงต่อสาธารณ ชนอย่างเปิดเผยและชัดเจน เพื่อลดความระแวงที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งเร่งให้การช่วยเหลือครอบครัวผู้สูญเสียเป็นการด่วน และภาครัฐควรทบทวนแนวนโยบายในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีความ ละเอียดอ่อนและคำนึงถึงความสอดคล้องต่อวิถีการดำเนินชีวิตตามแบบฉบับของ ศาสนาของคนในพื้นที่ให้มาก รวมไปถึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมกันประณามพฤติกรรมดังกล่าว และใช้วิจารณญาณในการรับและเผยแพร่ข้อมูล พร้อมเร่งให้ความช่วยเหลือแก่พี่น้องมุสลิมผู้สูญเสียดังกล่าว” แถลงการณ์ระบุถึงข้อเรียกร้อง
แถลงการณ์ เรื่อง ขอประณามการกระทำอันโหดเหี้ยมและไร้มนุษยธรรมของคนร้ายที่กราดยิงผู้บริสุทธิ์ที่กำลังปฏิบัติศาสนกิจในมัสยิดอัลฟุรกอน จังหวัดนราธิวาส จากเหตุการณ์กลุ่มคนร้ายใช้อาวุธปืนสงคราม ทั้งเอ็ม 16 และปืนลูกซอง ระดมยิงเข้าไปในมัสยิดอัล- ฟุรกอน หมู่ที่ 8 บ้านไอปาแย ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ในคืนวันที่ 8 มิ.ย.2552 เวลาประมาณ 20.30 น.ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านกำลังทำพิธีละหมาด เป็นเหตุให้มีผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตมากถึง 11 คนและได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 13 คน โดยหนึ่งในผู้เสียชีวิตคือโต๊ะอิหม่ามประจำมัสยิด ซึ่งเป็นผู้นำทางด้านศาสนา เหตุการณ์ในครั้งนี้ นับว่าเป็นสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่สร้างความสูญเสียต่อชาวมุสลิมมากที่สุดอีกเหตุการณ์หนึ่งในรอบ 5 ปี ซึ่งถือเป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมอำมหิตและไร้มนุษยธรรมอย่างที่สุด ที่ไม่เพียงแต่สร้างหวาดกลัว เศร้าโศก และหดหู่ใจอย่างแสนสาหัสต่อผู้สูญเสียและชาวบ้านในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อชาวบ้านในจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งหมดอีกด้วย ทั้งนี้ทางสมาพันธ์นิสิตนักศึกษามุสลิมแห่งประเทศไทย (สนมท.) ขอประณามอย่างรุนแรงต่อการกระทำที่โหดเหี้ยมอำมหิตและไร้ซึ่งมนุษยธรรมของกลุ่มคนร้ายที่กระทำต่อชาวมุสลิมผู้บริสุทธิ์ในครั้งนี้ และขอเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและชี้แจงต่อสาธารณชนอย่างเปิดเผยและชัดเจน เพื่อลดความระแวงที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งเร่งให้การช่วยเหลือครอบครัวผู้สูญเสียเป็นการด่วน และภาครัฐควรทบทวนแนวนโยบายในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีความละเอียดอ่อนและคำนึงถึงความสอดคล้องต่อวิถีการดำเนินชีวิตตามแบบฉบับของศาสนาของคนในพื้นที่ให้มาก รวมไปถึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมกันประณามพฤติกรรมดังกล่าว และใช้วิจารณญาณในการรับและเผยแพร่ข้อมูล พร้อมเร่งให้ความช่วยเหลือแก่พี่น้องมุสลิมผู้สูญเสียดังกล่าว หากแม้แต่ศาสนสถานยังถูกโจมตีและผู้ปฏิบัติศาสนกิจยังถูกทำร้าย ทั้งที่พึงได้รับการปกป้องและยกเว้นจากการโจมตีแม้ในภาวะสงคราม แล้วยังจะพอมีที่ใดอีกบ้างในดินแดนแห่งนี้ที่จะปลอดภัยพอสำหรับคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้? ด้วยจิตศรัทธา สมาพันธ์นิสิตนักศึกษามุสลิมแห่งประเทศไทย วันที่ 10 มิถุนายน 2552
|
แฮรี่ นิโคไลดส์ : กล้วยที่แพงที่สุดในประเทศไทย Posted: 10 Jun 2009 11:02 AM PDT
ภายหลังได้รับพระราชทานอภัยโทษและเนรเทศออกจากประเทศไทย จากความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แฮรี่ นิโคไลดส์ เขียนถึงบรรยากาศภายในคุกและกระบวนการยุติธรรมไทย ผ่านเรื่องราวของนักโทษคนหนึ่งที่เขาได้พบระหว่างที่อยู่ในเรือนจำคลองเปรม พร้อมภาพแสดงความเป็นอยู่ในเรือนจำไทย แฮรี่ นิโคไลดส์ : กล้วยที่ราคาแพงที่สุดในประเทศไทย |
สมัชชาคนจน “หัวนา-ราษีไศล” ยืนยัน อยู่ยาวจนกว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไข Posted: 10 Jun 2009 10:33 AM PDT <!--break-->
(9 มิ.ย. 2552) ศรีสะเกษ สมัชชาคน เขื่อนราษีไศล-เขื่อนหัวนา ชุมนุมต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 ตามติดการแก้ไขปัญหาของกรมชลประทาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หลังพบนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ที่ผ่านมา และได้ข้อตกลงให้มีการประชุมแก้ไขปัญหาเร่งด่วนในวันที่ 11 มิถุนายน ที่จะถึงนี้ ยืนยันจะอยู่ที่สันเขื่อน ติดตามการแก้ไขปัญหาจนกว่าจะแล้วเสร็จ ความคืบหน้า การชุมนุมของสมัชชาคนจน เขื่อนราษีไศล-เขื่อนหัวนา ที่บริเวณสันเขื่อนราษีไศล อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมได้จัดกิจกรรมบริเวณสันเขื่อนอย่างต่อเนื่อง โดยวันที่ 6 มิถุนายน จัดเวทีให้ข้อมูลเกี่ยวกับเขื่อนที่กำลังจะสร้างในแม่น้ำโขง โดย นางสาวเปรมฤดี ดาวเรือง มูลนิธิฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ พร้อมด้วย นางสาวสดใส สร่างโศรก นักวิชาการจากสถาบันวิจัยจุฬาฯ ตลอดจน การบอกเล่าสถานการณ์ในพื้นที่เขื่อนราษีไศลและเขื่อนหัวนา ของแกนนำชาวบ้านทั้งสองพื้นที่ ต่อมาในวันที่ 7 มิถุนายน ได้มีการรณรงค์ทำความเข้าใจในหมู่บ้านรอบๆเขื่อนราษีไศลและตัวอำเภอราษีไศล นายสุข จันทร แกนนำชาวบ้านเขื่อนราษีไศล กล่าวว่า “การมาชุมนุมที่สันเขื่อนเพราะปัญหาเขื่อนราษีไศลและเขื่อนหัวนายังไม่ได้รับการแก้ไข หลายรัฐบาลมาแล้วที่ไม่มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหา อยากให้ประชาชนเข้าใจถึงความเดือดร้อนของเรา พวกเราไม่ได้มาสร้างความเดือดร้อนให้ใคร ซึ่งเราจะยังชุมนุมต่อเพื่อทำการแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองและติดตามการแก้ไขปัญหาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด จนกว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไข” นอกจากนี้นายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ได้มารับฟังปัญหาของกลุ่มผู้ชุมนุมที่บริเวณสันเขื่อน พร้อมพูดคุยพบปะเยี่ยมเยียนผู้ชุมนุม จากนั้น วันที่ 8 มิถุนายน กลุ่มผู้ชุมนุมทำการรณรงค์ทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ความคืบหน้าของการถมลำมูนเดิมเพื่อปิดเขื่อนหัวนา การรับรองผลการตรวจสอบที่ดินที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนหัวนา การแก้ไขปัญหาที่ล่าช้าของหน่วยงานรัฐ รวมถึงการจำกัดสิทธิของประชาชนในการแก้ไขปัญหา บริเวณพื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนหัวนา อ.ราษีไศล และ อ.อุทุมพรพิสัย นายสำราญ หอกระโทก แกนนำชาวบ้านเขื่อนหัวนา กล่าวว่า “พวกเราได้จัดขบวนรณรงค์ในพื้นที่เพื่อทำความเข้าใจกับชาวบ้านให้มีความเข้าใจที่ตรงกันและติดตามสถานการณ์เกี่ยวกับเขื่อนหัวนา ซึ่งเป็นโครงการรัฐที่กำลังมีความเคลื่อนไหวเพื่อดำเนินการให้แล้วเสร็จ ซึ่งหากให้มีการดำเนินต่อโดยที่ยังไม่ได้มีการศึกษาผลกระทบด้านต่างๆ ก็จะก่อให้เกิดผลเสียต่อชาวบ้าน เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อนราษีไศล ที่การศึกษาผลกระทบและการตรวจสอบทรัพย์สินยังไม่เสร็จแล้ว มาเก็บกักน้ำก่อน ทำให้ปัญหาหลายอย่างตามมา ปัจจุบันก็ยังไม่ได้ค่าชดเชยจากการสร้างเขื่อนแล้วนำท่วมไร่นา สูญเสียที่ดินทำกิน และป่าสาธารณะไปเป็นจำนวนมาก โดยที่รัฐบาลไม่แก้ไขปัญหาให้เรียบร้อยก่อนที่จะปิดเขื่อนเพื่อเก็บกักน้ำ” นายแดง คาวี แกนนำชาวบ้านเขื่อนหัวนา กล่าวว่า “ที่ผ่านมา 6 วันก็ยังไม่มีความคืบหน้าอะไร กรมชลประทานพยายามที่จะเข้ามาแบ่งแยกมวลชน ด้วยการสร้างความสับสนในการตรวจสอบที่ดินทำกินและรายชื่อผู้ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อน อย่างไรก็ตามพวกเรารู้ว่าเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว เราก็เห็นทิศทางของตัวเอง เมื่อมีการชุมนุมแล้วถ้าไม่บรรลุเป้าหมายการแก้ปัญหา พวกเราก็จะไม่ถอย ซึ่งตอนนี้ก็กำลังเตรียมการเจรจากับสำนักงานชลประทานที่ 8 รวมทั้งเตรียมข้อมูล เตรียมเอกสาร เพื่อไปประชุมกับคณะทำงานแก้ไขปัญหาสมัชชาคนจนของรัฐบาลในวันที่ 11 มิถุนายน ที่จะถึงนี้” พร้อมกันนี้ในเวลา 14.00 น. นายประดิษฐ์ โกศล ตัวแทนสมัชชาคนจน ได้อ่านแถลงการณ์ ฉบับที่ 2 “ขอให้กรมชลฯ กลับใจ เพื่อแก้ไขปัญหาชาวบ้าน” รายละเอียดในแถลงการณ์ระบุว่า การแก้ไขปัญหากรณีเขื่อนราษีไศลและเขื่อนหัวนา ผ่านมาแล้ว 16 ปี ผ่านการบริหารงานของ 9 นายกรัฐมนตรี 10 รัฐบาล 2 หน่วยงาน แต่ชาวบ้านยังคงเดือดร้อนเหมือนเดิม แม้ว่าในปี พ.ศ. 2543 คณะรัฐมนตรีมีการตัดสินใจแก้ไขปัญหาทั้งสองเขื่อน แถลงการณ์ ระบุอีกว่า ก ร ณี เ ขื่ อ น หั ว น า มีมติให้ระงับการถมลำน้ำมูนเดิม เพื่อศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และตรวจสอบทรัพย์สินผู้ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากเขื่อนหัวนา แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ประเด็นที่ไม่เคยห่างหายไปจากความกังวลของชาวบ้านเลย คือ การนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยนักการเมือง ให้มีการถมลำน้ำมูนเดิม เพื่อบังคับน้ำให้ไหลผ่านบานประตูเขื่อนหัวนา ทั้งที่ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาผลกระทบ การตรวจสอบทรัพย์สินผู้ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ ใช้เวลา 7 ปี แต่ยังไม่แล้วเสร็จ เพราะกรมชลฯหน่วงเหนี่ยว ไม่อยากรับรองสิทธิ์ ล่าสุดมติการประชุม 29 มกราคม 2552 ถูกเจ้าหน้าที่กรมชลประทานบิดเบือน โดยแก้ไขคำสั่งแต่งตั้งกรรมการไม่ให้มีอำนาจรับรองการตรวจสอบทรัพย์สิน ขณะที่ ก ร ณี ร า ษี ไ ศ ล มีมติให้เปิดประตูน้ำ เพื่อบรรเทาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการแพร่กระจายของดินเค็ม และผลกระทบทางสังคม ตลอดจนเพื่อพิสูจน์สิทธิในที่ดิน แต่จนกระทั่งปัจจุบัน รัฐบาลยังไม่สามารถคลี่คลายปัญหาดังกล่าวได้แม้แต่ประเด็นเดียว โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาค่าชดเชยที่เหลือ ได้หลักการที่ชัดเจนหมดแล้วว่า ให้ใช้มติคณะรัฐมนตรี 1 กุมภาพันธ์ 2543 ในการพิสูจน์ที่ดินทำกินและจ่ายในราคาไร่ละ 32,000 บาท แต่หลังจากนั้นกลไกการแก้ปัญหา ซึ่งอยู่ในมือกรมชลประทาน กลับไม่ทำงาน มีการเล่นแง่หน่วงเหนี่ยวตลอดเวลา นอกจากนั้นปัญหาอื่นๆ ยังไม่มีความคืบหน้า เช่นกรณี นานอกอ่างและการศึกษาผลกระทบ นอกจากนี้ แถลงการณ์ ระบุทิ้งท้ายว่า สมัชชาคนจน เขื่อนหัวนาและเขื่อนราษีไศล ได้ชุมนุมที่สันเขื่อนราษีไศลเป็นเวลา 6 วันแล้ว และขอประกาศว่า การแก้ไขปัญหาที่ย |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น