"เชิญชวนทุกท่านร่วมสร้างสรรค์กฎหมายเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน"

อินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน
Blognone
Share |

Suthichai Online - ข่าวประจำวัน

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ไขปริศนาคดีฆาตกรรม “พระสุพจน์” ไฉนต้องเบี่ยงประเด็นชู้สาว!?!


ไขปริศนาคดีฆาตกรรม "พระสุพจน์" ไฉนต้องเบี่ยงประเด็นชู้สาว!?!
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 16 กุมภาพันธ์ 2552 06:07 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
พระสุพจน์ สุวโจ

พระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ

โยมบิดา-มารดาพระสุพจน์ ไหว้สถูปบรรจุอัฐิบุตรชาย (ภาพจากwww.oknation.net)

กุฏิที่จำวัดของพระสุพจน์ บนสถานปฏิบัติธรรมสวนเมตตาธรรม(ภาพจากwww.oknation.net)

บริเวณสถานที่พระสุพจน์ถูกสังหาร (ภาพจากwww.oknation.net)

ดีสะเทือนขวัญฆาตกรรมพระสุพจน์ สุวโจ ประธานมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ สถานปฏิบัติธรรมสวนเมตตาธรรม จำนวนกว่า 1,500 ไร่ ในพื้นที่ ต.สันทราย อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ 17 มิ.ย. 2548 ซึ่งมีผู้พบพระสุพจน์ เสียชีวิตบริเวณพงหญ้าริมทางเดิน ในเขตสถานปฏิบัติธรรม เบื้องต้นพบว่าพระสุพจน์ถูกคนร้ายหลายคนรุมทำร้ายจนมรณภาพด้วยของมีคมอย่างเหี้ยมโหด จวบปัจจุบันเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่สามารถนำคนร้ายมาดำเนินคดีได้แม้แต่คนเดียว และเมื่อเวลาผ่านไปเกือบ 4 ปี ก็ยังมีเงื่อนงำให้สงสัยเกี่ยวกับสาเหตุการเสียชีวิตว่า อาจเกิดจากการแสดงความคิดเห็นกรณีการใช้ความรุนแรง หรือฆ่าตัดตอน หรือประเด็นการขัดขวางการบุกรุกที่ดินของผู้มีอิทธิพลในพื้นที่เชื่อมโยงกับนักการเมืองระดับชาติ ซึ่งคดีดังกล่าวเกิดขึ้นสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
       

       ในช่วงแรกการคลี่คลายคดีฆ่าพระสุพจน์ อยู่ในความรับผิดชอบของ ตำรวจ สภ.อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ (ขณะนั้น) แต่เมื่อคดีดังกล่าวไม่มีความคืบหน้า ต่อมาพระกิตติศักดิ์ กิตติโสภโณ พระมหาเชิดชัย กวิวํโส ซึ่งจำพรรษาอยู่ที่สำนักสงฆ์เดียวกับพระสุพจน์ และประชาชน ได้เดินทางไปยื่นร้องขอความเป็นธรรมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จนมีการโอนเป็นคดีพิเศษ ซึ่งมี พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ขณะนั้นรับผิดชอบ แต่ก็ยังไม่สามารถคลี่คลายคดีและนำตัวคนร้ายมาดำเนินคดีได้ ทั้งที่คดีดังกล่าวได้รับความสนใจจากประชาชน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และองค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยหลายแห่ง จนมีการออกมาเรียกร้องกดดันให้มีการปฏิรูปกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ และเสนอให้ยุบองค์กร เนื่องจากเห็นว่าดีเอสไอถูกใช้เป็นเครื่องมือของนักการเมืองสมัยนั้น โดยล่าสุดมีความพยายามเบี่ยงเบนสาเหตุการเสียชีวิตไปเป็นประเด็นชู้สาว
       
       คดีดังกล่าว หัวหน้าพนักงานสอบสวนดีเอสไอที่รับผิดชอบในปัจจุบัน คือ พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ ซึ่งแต่งตั้งในสมัยนายสุนัย มโนมัยอุดม เป็นอธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายให้เข้ามารับผิดชอบคดีสำนวนคดีดังกล่าวต่อจากผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษคนก่อน เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว จึงได้ตั้งชุดสืบสวนและสอบสวน จำนวน 2 ชุดประมาณ 10 กว่าคนมาคลี่คลายคดี แต่ข้อเท็จจริงพบว่า พยานหลักฐานถูกทำลายไปบางส่วน และบางส่วนสูญหายไปบ้าง เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมานานแล้วตั้งแต่ต้นปี 2548 แต่ตนพยายามทำคดีเต็มที่ ซึ่งได้รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ มากพอสมควร พอจะสรุปประเด็นสาเหตุการเสียชีวิตได้ 2 ประเด็นหลักๆ คือ เรื่องการบุกรุกที่ดินของสำนักสงฆ์หรือสถานที่ปฏิบัติธรรมจากกลุ่มผู้บุกรุกที่ดิน ซึ่งประเด็นนี้ พระสุพจน์เคยไปแจ้งความเป็นหลักฐานไว้ที่ สภ.ฝาง จนต่อมามีการส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปห้ามปรามกลุ่มผู้บุกรุกที่ดินให้เลิกกระทำการแผ้วถางหรือฮุบที่ดินสงฆ์ไปทำประโยชน์ และพบอีกว่ากลุ่มผู้บุกรุกได้ส่งคนไปเจรจากับพระสุพจน์และพระกิตติศักดิ์ที่สถานปฏิบัติธรรมดังกล่าวหลายครั้ง และประเด็นที่สองคือ เดิมพระสุพจน์และพระกิตติศักดิ์ เป็นพระที่มาจาก อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นศิษย์ของท่านพระพุทธทาสภิกขุ แห่งสวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อย้ายมาตั้งสำนักสงฆ์ที่จ.เชียงใหม่ ต่อมาพระทั้งสองได้เขียนบทความในหนังสือ รวมทั้งเว็บไซต์เผยแพร่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลสมัยนั้น โดยเฉพาะประเด็นเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ จ.ปัตตานี และเหตุการณ์ตากใบ จ.นราธิวาส ที่มีการใช้ความรุนแรงกับประชาชน จนกระทั่งมีการเข้าไปตรวจสอบการเขียนหนังสือและบทความของพระทั้งสองอย่างต่อเนื่อง
       
       อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ทางพนักงานสอบสวนกำลังรวบรวมหลักฐานอยู่ สำหรับกลุ่มผู้ต้องสงสัยฆ่าพระสุพจน์ทั้งจากประเด็นบุกรุกที่ดินและประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ความรุนแรงของรัฐบาลนั้น อาจจะเป็นผู้ต้องสงสัยกลุ่มเดียวกัน แต่อาจจะมีมูลเหตุจูงใจทั้งสองอย่าง เพราะฉะนั้น ตนจึงให้น้ำหนักกับประเด็นทั้งสองค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่ได้ทิ้งประเด็นที่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษชุดเดิมทำมา ก็ยังสืบสวนอยู่
       
       "ให้น้ำหนักประเด็นการบุกรุกที่ดิน และวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเกือบเท่าๆ กัน ใกล้เคียงกันมาก เพราะจากการรวบรวมพบพยานหลักฐานก็มีประเด็นที่บ่งชี้ แต่ยังเปิดเผยไม่ได้ ซึ่งจากนี้ไปก็คงต้องพยายามรวบรวมพยานหลักฐานให้ได้ เพราะว่าพยานหลักฐานบางอย่างถูกทำลายไป เช่นอาวุธที่ใช้ฆ่าพระสุพจน์"ผบ.สำนักคดีอาญากล่าว
       
       ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ ซึ่งรับผิดชอบคดีพระสุพจน์ยอมรับว่าหนักใจพอสมควร เพราะได้เข้ามาทำงานคดีนี้หลังเหตุการณ์ผ่านมาค่อนข้างนาน แต่ยืนยันว่าคดีคืบหน้าไปมาก และพนักงานสอบสวนชุดนี้ มีอัยการพิเศษข้ามาร่วมหาหลักฐานด้วย ซึ่งทั้งชุดสืบสวนและชุดสอบสวนมีความกระตือรือร้นในการคลี่คลายคดีให้เร็วที่สุด
       
       ขณะที่พระกิตติศักดิ์กล่าวถึงสาเหตุการเสียชีวิตของพระสุพจน์ว่า น่าจะมาจากประเด็นการวิพากษ์วิจารณ์การใช้ความรุนแรง ในรัฐบาลสมัยนั้นเนื่องจากตนและพระสุพจน์ได้เขียนบทความลงในหนังสือและเผยแพร่เกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงลงในเว็บไซต์ และเคยร่วมเขียนบทความลงหนังสือ "รู้ทันทักษิณ" เล่มที่ 2 ร่วมกับอาจารย์เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีต ส.ว.นักคิดนักเขียน อาจทำให้เกิดความไม่พอใจ
       
       "ก่อนเกิดเหตุ 2 วัน ก็มีการส่งคนไปข่มขู่ที่วัด ซึ่งมีพระสุพจน์อยู่เพียงลำพัง ส่วนอาตมาเข้ามาทำธุระที่กรุงเทพฯ ส่วนตัวคิดว่าคนร้ายมุ่งจะทำร้ายอาตมามากกว่าเสียด้วยซ้ำ แต่บังเอิญไม่เจออาตมา เคราะห์ร้ายจึงตกอยู่ที่พระสุพจน์" พระกิตติศักดิ์กล่าว
       
       พระกิตติศักดิ์กล่าวต่อว่า หลังเกิดเหตุได้มาร้องเรียนกับ รมว.ยุติธรรม ต่อมามีการนำเข้าเป็นคดีพิเศษแต่ 3 ปีผ่านไปคดีไม่มีความคืบหน้า องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย จึงออกมาแถลงเรียกร้องให้มีการปฎิรูปหรือยุบกรมสอบสวนคดีพิเศษ เนื่องไม่มีความคืบหน้าในคดีสำคัญๆ และตั้งข้อสงสัยว่า ดีเอสไออาจตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมือง ต่อมาจึงมีความพยายามเบี่ยงเบนประเด็นการเสียชีวิตของพระสุพจน์ว่ามาจากเป็นเด็นชู้สาว อ้างว่าหลักฐานภาพลามก ในเครื่องคอมพิวเตอร์ และเจอขนเพชรตกอยู่ในที่เกิดเหตุ
       
       พระกิตติศักดิ์กล่าวว่า เรื่องนี้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เคยเรียกพนักงานสอบสวนดีเอสไอชุดเก่าที่ทำคดีนี้ไปชี้แจง ก็ไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจนว่า พระสุพจน์เข้าไปเกี่ยวข้องในประเด็นชู้สาวได้อย่างไร ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุพระสุพจน์ถูกฆ่า ตนเป็นคนที่เอาฮาร์ดดิส ในเครื่องคอมพิวเตอร์ไปให้กับพนักงานสอบสวน แต่ตั้งข้อสังเกตว่า หลังจากพนักงานสอบสวนเอาฮาร์ดดิสไปแล้วประมาณ 8 เดือนจึงปรากฎข่าวประเด็นชู้สาว และเจอภาพลามกในฮาร์ดดิสเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้น ซึ่งเคยมีผู้หวังดีเตือนเหมือนกันว่า ให้เก็บฮาร์สดิสไว้กับตัว อย่าเพิ่งมอบให้พนักงานสอบสวน แต่ตนไม่เชื่อ ส่วนกรณีพบกระดาษทิสชูและขนเพชร นั้นเรียนว่าปกติพระจะใส่ชีวร ไม่สวมกางเกงใน ประเด็นขนเพชรตกอยู่ก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ตรวจสอบแล้วก็ไม่พบขนเพชรของเพศตรงข้ามแต่อย่างใด
       
       "ข่าวดังกล่าวเป็นเพียงข่าวปล่อยเพื่อให้พระสุพจน์เสียหายเท่านั้น ซึ่งอาตมาสังเกตว่าจะเกิดข่าวปล่อยทุกครั้งที่มีความพยายามรื้อฟื้นคดีขึ้นมา" พระกิตติศักดิ์กล่าวย้ำ
       
       พระกิตติศักดิ์กล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา ได้เดินทางไปพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรมที่รัฐสภา เพื่อพูดคุยคดีฆ่าพระสุพจน์ ซึ่งนายกรัฐมนตรีรับปากว่าจะดูแลคดีให้ พร้อมทั้งมอบหมายให้พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร.รับผิดชอบคดีแล้ว โดยสั่งให้มีการติดตามความคืบหน้าคดีดังกล่าวกับดีเอสไอ เพราะถือว่า การฆ่าพระเป็นคดีสำคัญที่สะเทือนขวัญและกระทบสิทธิมนุษยชน พร้อมกับจัดส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปคุ้มครองความปลอดภัย กระทั่งเมื่อวานนี้ (12 ก.พ.) จึงมีข่าวของพระสุพจน์ว่า มาจากประเด็นชู้สาว จึงรู้สึกแปลกใจ และล่าสุดเมื่อกลางดึกคืนที่ผ่านมา( 12 ก.พ.) ระหว่างจำวัดที่สถานปฏิบัติธรรมก็ได้ยินเสียงยิงปืนขู่ จำนวน 9 นัด ซึ่งคาดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการพยายามรื้อฟื้นคดีพระสุพจน์ขึ้นมาอีก
       
       สำหรับพระสุพจน์ สุวโจ เกิดเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ.2509 จบการศึกษาจากคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หลังจากทำงานได้ระยะหนึ่งแล้วได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดชลประทานรังสฤษฏ์ ในปี พ.ศ.2535 (อายุ 26 ปี)
       
       หลังจากอุปสมบทแล้ว พระสุพจน์ได้ไปศึกษาปฏิบัติธรรมที่ จ.กาญจนบุรี จากนั้นได้มีผู้ชักชวนไปที่สวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ในระยะต่อมาเดิมพระสุพจน์ไม่ได้คิดที่จะพำนักอยู่ที่สวนโมกข์เป็นการถาวร คิดเพียงแต่จะไปศึกษาชั่วคราวเท่านั้น แต่เมื่อได้เข้าร่วมการอบรมอานาปานสติ ประกอบกับบรรยากาศอันร่มรื่นและความเป็นกัลยาณมิตรในชุมชนสวนโมกข์ ทำให้พระสุพจน์ตัดสินใจที่อยู่ศึกษาและปฏิบัติธรรมต่อไป ทั้งยังมีโอกาสช่วยงานของวัดในการอบรมอานาปานสติและการจัดค่ายเยาวชนอีกด้วย นอกจากนี้ ในระหว่างนั้น ทางสวนโมกข์ได้มีคณะทำงานเกี่ยวกับห้องสมุดธรรมะ (โมกขพลบรรณาลัย) โดยมีอุบาสิการัญจวน อินทรกำแหง เป็นผู้วางระบบการจัดหนังสือ พระสุพจน์จึงมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบ และดูแลงานของห้องสมุดดังกล่าวอีกทางหนึ่ง และเนื่องจากพระสุพจน์เป็นผู้ที่มีความสนใจและมีทักษะในการใช้คอมพิวเตอร์เป็นพิเศษ จึงได้มีส่วนช่วยงานด้านเอกสารต่าง ๆ ของวัด ร่วมกับพระเลขานุการของท่านอาจารย์พุทธทาส และได้รับผิดขอบงานด้านนี้อย่างเต็มตัวในระยะต่อมา
       
       หลังจากท่านอาจารย์พุทธทาสมรณภาพลงในปี พ.ศ.2536 ได้มีการปรึกษาหารือกันว่าจะมีวิธีการใด ที่จะสืบสานปณิธานของท่านอาจารย์พุทธทาสให้ยั่งยืนสืบไป และได้มีการเสนอว่า น่าจะมีจัดตั้งกลุ่มพระหนุ่มที่ศึกษาผลงานของท่านอาจารย์พุทธทาสอย่างเป็นระบบและนำไปประยุกต์ใช้กับสังคมอย่างสมสมัย เพื่อให้สวนโมกข์กลับมามีบทบาทเป็นผู้นำความคิดทางสังคมอีกครั้ง โดยมีนายแพทย์ประเวศ วะสี อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ และคณะศิษย์ของสวนโมกข์จำนวนหนึ่งเป็นที่ปรึกษา ซึ่งพระสุพจน์ก็ได้มีส่วนร่วมอย่างสำคัญในการจัดตั้งกลุ่มดังกล่าวด้วย
       
       ในช่วงเดียวกันนี้เอง ได้เกิดแนวคิดที่จะรื้อฟื้นหนังสือพิมพ์ "พุทธสาสนา" ซึ่งเป็นสื่อในการเผยแพร่แนวคิดของท่านอาจารย์พุทธทาสมาแต่เริ่มต้น โดยพยายามที่จะปรับปรุงให้สามารถสื่อกับคนร่วมสมัยได้มากขึ้น รวมทั้งจัดพิมพ์ธรรมะของท่านอาจารย์พุทธทาสในรูปลักษณะที่น่าดึงดูดใจมากขึ้น ท่านสุพจน์ได้ใช้เวลาในช่วงนี้ศึกษาและพัฒนาความสามารถในการจัดอาร์ตเวิร์ค หรือการจัดรูปเล่มหนังสือต่างๆ จนกระทั่งเกิดความเชี่ยวชาญในด้านนี้เป็นพิเศษ ผลงานหนังสือที่สำคัญในช่วงนี้คือ ผลงานหนังสือชุด "ปณิธาน : เพื่อสืบสานปณิธานพุทธทาส" จำนวน 6 เล่ม
       
       ในราวปลาย พ.ศ.2541 ได้มีผู้เสนอที่จะจัดตั้งมหาวิทยาลัยทางเลือกขึ้นในบริเวณสวนเมตตาธรรม อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ซึ่งพระอาจารย์สิงห์ทน นราสโภ หรือ ดร.สิงห์ทน คำซาว เจ้าของที่ดินได้มอบที่ดินให้ใช้ประโยชน์ซึ่งอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ จึงได้นิมนต์พระสุพจน์และเพื่อนๆ ในกลุ่มพุทธทาสศึกษาไปดูสถานที่ และพบว่าบริเวณดังกล่าวมีความเหมาะสมในการทำงานตามปณิธานของกลุ่ม จึงได้ตัดสินใจเข้าไปจำพรรษาในสวนเมตตาธรรม
       
       ต่อมาในปี 2543 จึงได้จัดตั้งมูลนิธิ "เมตตาธรรมรักษ์" ขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะส่งเสริมคุณภาพชีวิตตามหลักธรรมะและสนับสนุนกิจกรรมทางด้านชุมชน การศึกษาและสิ่งแวดล้อมและได้รับใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย ในวันที่ 20 ธันวาคม 2543 (ใบอนุญาตเลขที่ ก.ท.1064 )โดยมี นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ นายพิภพ ธงชัย นายอนันต์ วิริยพินิจ นายสุรสีห์ โกศลนาวิน เป็นกรรมการชุดแรก เพื่อให้สถานปฏิบัติธรรมอยู่ภายใต้การดูแลของทางมูลนิธิที่จดทะเบียนอย่างถูกต้อง มูลนิธิดังกล่าวใช้ชื่อว่า "มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์" ซึ่งระยะต่อมาพระสุพจน์ได้รับเลือกให้เป็นรองประธานของมูลนิธิอีกด้วย
       
       ระหว่างที่พำนักอยู่ที่สวนเมตตาธรรมนี้ พระสุพจน์ได้ใช้ความสามารถเกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อสื่อสารหลักธรรมผ่านอินเทอร์เน็ต และจัดทำเว็บไซต์ธรรมะขึ้น ต่อมาได้พัฒนาให้เกิดเว็บไซต์ของกลุ่มพุทธทาสศึกษา โดยมีผู้เข้ามาใช้ประโยชน์จากเว็บไซต์ดังกล่าวเป็นจำนวนมาก
       
       ขณะเดียวกัน พระสุพจน์ก็ยังคงรับหน้าที่ในการจัดรูปเล่มหนังสือ ตลอดทั้งให้คำปรึกษาและถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์กับองค์กรต่างๆ ที่ทำงานทางด้านสังคมอยู่อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะองค์กรในเครือข่ายของมูลนิธิเสถียรโกเศศ-นาคะประทีป และมูลนิธิโกมลคีมทอง ผลงานสำคัญในระยะนี้คือ การเป็นบรรณาธิการฝ่ายศิลป์ของจดหมายข่าวเสขิยธรรม ตั้งแต่ พ.ศ.2542-2548 และการจัดรูปเล่มหนังสือชุดสรรนิพนธ์พุทธทาส ชุดธรรมทัศน์ ชุดบางแง่มุม หนังสือในชุดฉลาดทำบุญ เอกสารเผยแพร่ของกลุ่มเสขิยธรรม และหนังสือธรรมะอื่นๆ จำนวนทั้งหมดไม่น้อยกว่า 100 เล่ม กระทั่งถูกฆาตกรรมเสียชีวิตปริศนา
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9520000017485

Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com




See all the ways you can stay connected to friends and family

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552

[netizen] วิดีโอ จากการอบรมเรื่องสื่อพลเมือง Video on civil journalism



 
From: supinya klangnarong <supinya40@yahoo.com>
Date: มิ.ย. 30, 2009 12:18 ก่อนเที่ยง
Subject: [netizen] วิดีโอ จากการอบรมเรื่องสื่อพลเมือง Video on civil journalism
To: thainetizen@googlegroups.com, kluaynamthai_forum@googlegroups.com, THAIFELLOWS <thaifellows@listserv.ashoka.org>


เรียนทุกท่าน

วิดีโอ บันทึก กิจกรรมบรรยายเรื่องสื่อพลเมือง โดยวิทยากรจากประเทศสหรัฐอเมริกา
ซึ่งจัดโดยเครือข่ายพลเมืองเน็ต และสนับสนุนโดยสถานฑูตสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน

ขณะนี้ ได้นำมาเผยแพร่ผ่านเว็บของเราแล้วนะคะ มี  5 คลิป ด้วยกัน คือเป็น บรรยาย และ ถามตอบ สองช่วง ตามด้วยการสัมภาษณ์ คนที่มาเข้าร่วมอบรม

สื่อรณรงค์ชิ้นนี้ ใช้เผยแพร่ทั่วไป ทุกท่านสามารถนำไปใช้ต่อเพื่อประโยชน์สูงสุดได้เลย

ฝากแนะนำ เผยแพร่ต่อ บุคคล องค์กร กลุ่ม และ สถาบันการศึกษาที่อาจจะสนใจด้วยนะคะ

แวะดูได้ที่  http://thainetizen.org/

ขอบคุณค่ะ

สุภิญญา


--~--~---------~--~----~------------~-------~--~----~
Thai Netizen Network
http://thainetizen.org/

----
u rcvd diz msg bcoz u r sbscbd 2 d "Thai Netizen Network" grp.
post, email thainetizen@googlegroups.com
leave, email thainetizen+unsubscribe@googlegroups.com
info, http://groups.google.com/group/thainetizen
-~----------~----~----~----~------~----~------~--~---



--
Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.tzuchithailand.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.biz652.com
http://dbd-52.hi5.com

ประชาไท | Prachatai.com



 
From: ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์ <service@prachatai.com>
Date: มิ.ย. 29, 2009 5:07 ก่อนเที่ยง
Subject: ประชาไท | Prachatai.com
To: 

ประชาไท | Prachatai.com

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

คนเสื้อแดงทำพิธีต้มสมุดเงินฝากบัวหลวง

Posted: 28 Jun 2009 02:54 PM PDT

ช่วงชุมนุมใหญ่ของ นปช. ที่ท้องสนามหลวงเมื่อ 27 มิ.ย. นั้น มีคนเสื้อแดงกลุ่มหนึ่งทำพิธี “บูชายัญเผด็จการอำมาตย์” เผาภาพเปรม-มาร์ค-เทพเทือก-เนวิน พร้อมสมุดเงินฝากบัวหลวง ลงในกระทะทองแดง พร้อมเหยาะซอสปรุงรส

read more

เอแบคโพลล์ เผย ประชาชน 51.2% รับได้หากรัฐบาลคอร์รัปชั่น แต่ประเทศรุ่งเรือง

Posted: 28 Jun 2009 01:55 PM PDT

เอแบคโพลล์เผยผลสำรวจประชาชน 51.2% รับได้หากรัฐบาลคอร์รัปชั่น แต่ประเทศรุ่งเรือง 52.9% สนับสนุนเสื้อแดงชุมนุมโดยมีเงื่อนไขให้ชุมนุมอย่างสงบ

read more

สปสช.เตือนอย่าเชื่ออ้างคืนเงินบัตรทอง

Posted: 28 Jun 2009 01:37 PM PDT

เลขาธิการ สปสช. เตือน ระวังมิจฉาชีพ อ้างคืนเงินบัตรทอง โทรศัพท์ หลอกถามบัญชีธนาคาร ยืนยัน ไม่มีนโยบาย

read more

“อภิสิทธิ์” ย้ำไม่ได้แปรรูป ร.ฟ.ท.ให้เอกชน เพียงแต่ปรับองค์กรให้การรถไฟดีขึ้น

Posted: 28 Jun 2009 01:08 PM PDT

“อภิสิทธิ์” ย้ำไม่มีนโยบายแปรรูป ร.ฟ.ท.ให้เอกชน ชี้เป็นเพียงปรับระบบการบริหารจัดการ ช่วยให้ฐานะรถไฟดีขึ้น ประธานสหภาพการรถไฟฯ ค้านแผนปรับโครงสร้างและตั้งบริษัทลูก ระบุเป็นการ "ฮุบกิจการ" โอนถ่ายให้บริษัทลูก พร้อมเสนอ 8 แนวทางปฏิรูป ด้านนักวิชาการชี้ ชะลอแผนฟื้นฟูยิ่งทำให้การรถไฟฯขาดทุนหนัก แนะเคลียร์สหภาพและตั้งกรรมการกำกับให้เกิดธรรมาภิบาล รวมถึงฟังความเห็นประชาชนว่าจะให้แปรรูปหรือไม่

read more

แรงงานรวมตัวผลักดันอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิในการรวมตัว-เจรจา จวกรัฐเมิน เพราะกลัวแรงงานมีอำนาจต่อรอง

Posted: 28 Jun 2009 11:30 AM PDT

เครือข่ายแรงงานกลุ่มต่างๆ ระบุจะร่วมกันรณรงค์ให้รัฐบาลให้สัตยาบันรับรองอนุสัญญาไอแอลโอ ฉบับที่ 87 และ 98 เพื่อคุ้มครองสิทธิในการรวมตัวและการเจรจาต่อรองของแรงงาน ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ชี้รัฐยังไม่ยอมลงนาม เพราะกลัวคุมคนงานไม่ได้ ด้านประธานสภาองค์การลูกจ้างสภาแรงงานฯ มอง ที่ผ่านมา ต่างคนต่างขอเลยยังไม่ได้ เสนอแรงงานเรียกร้องร่วมกัน

read more

วิกฤตเลิกจ้าง: การฉวยโอกาสของนายทุนและการลุกขึ้นสู้ของคนงานไทรอัมพ์

Posted: 28 Jun 2009 10:40 AM PDT

สันติ ธรรมประชา

นับตั้งแต่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกในสถานการณ์ปัจจุบัน ทำให้นายทุน บริษัท นายจ้างต่างๆได้ฉวยโอกาสที่จะลดต้นทุนการผลิตในหลายๆด้าน ที่สำคัญยังได้ฉวยโอกาสใช้กลยุทธ์การทำลายล้างสหภาพแรงงาน ด้วยเช่นกัน

read more

Silence of the Lamp : "คู่มือการรายงานข่าวในสถานการณ์ความขัดแย้ง" คู่มืออันล้มเหลวของแมลงวันที่ไม่ยอมตอมแมลงวัน

Posted: 28 Jun 2009 10:27 AM PDT

โดย ประวิตร โรจนพฤกษ์
แปลและเรียบเรียงโดย ทวีพร คุ้มเมธา

“ประวิตร โรจนพฤกษ์” วิจารณ์ "คู่มือการรายงานข่าวในสถานการณ์ความขัดแย้ง" ที่จัดพิมพ์โดยองค์กรสื่อ กับความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการอธิบายว่า เพราะเหตุใด สื่อมวลชนกระแสหลักส่วนใหญ่จึงถูกมองว่า เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งและปัญหาทางการเมืองเสียเอง

read more

อจ.มธ.แนะถอนทหาร 3 จังหวัดใต้ ระบุคงไว้อาจแก้ปัญหาไม่ได้

Posted: 28 Jun 2009 09:28 AM PDT

อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ชี้รัฐบาลควรทบทวนเรื่องการใช้กำลังทหารในพื้นที่ แต่ยังไม่ได้ให้ถอนกำลังหมดในเวลานี้ ที่ผ่านมารัฐทุ่มงบประมาณและกองกำลังลงไป แต่กลับไม่เกิดผลด้านบวก

read more

นักข่าวพลเมือง: ความคืบหน้าการสืบพยานโจทก์ปากแรก กรณีฟ้องอดีต ผบ.ตร.

Posted: 28 Jun 2009 09:18 AM PDT

นักข่าวพลเมืองรายงานความคืบหน้าการสืบพยานโจทก์ปากแรก กรณีฟ้อง พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ อดีตผบ.ตร. จำเลยที่ 1 ในฐานะเป็นผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในเหตุการณ์การใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมกลุ่มคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย 
 

read more

วอนเจ้าหน้าที่ประมง และตำรวจน้ำเฝ้าระวังการลอบทำร้ายฉลามวาฬ

Posted: 28 Jun 2009 09:11 AM PDT

ฉลามวาฬยังคงเข้ามาหากินใกล้ชายฝั่งบริเวณชายหาดบ้านดอนสำราญ ต.แม่รำพึง อ.บางสะพาน จ.ประจวบฯ ห่างจากบริเวณสถานที่ก่อสร้างโครงการโรงถลุงเหล็กไม่ถึง 1 กิโลเมตร เป็นวันที่ 5 แล้ว

read more

เลือกตั้งซ่อมศรีสะเกษเขต 1 เพื่อไทยชนะ

Posted: 28 Jun 2009 06:41 AM PDT

ผลการนับคะแนนเลือกตั้งซ่อมศรีสะเกษเขต 1 ล่าสุดการนับคะแนนครบทุกหน่วยเลือกตั้ง ผู้สมัครเพื่อไทยได้ 123,557 คะแนน พรรคชาติไทยพัฒนาได้ 75,420 ทิ้งขาดกว่า 48,137 คะแนน "เฉลิม" ประกาศชัยชนะแล้ว เพราะคนศรัทธา"ทักษิณ" ผู้สมัคร ชทพ.ยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว

read more

You are subscribed to email updates from ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์
To stop receiving these emails, you may unsubscribe now.
Email delivery powered by Google
Inbox too full? Add to Google
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610


--
Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.tzuchithailand.org
http://www.ictforall.org
http://www.biz652.com
http://dbd-52.hi5.com

White Ocean Strategy โลกนี้ไม่ได้มีแค่ด้านเดียว






 




From: dmgbooks@gmail.com
To: 
Subject: White Ocean Strategy โลกนี้ไม่ได้มีแค่ด้านเดียว
Date: Mon, 29 Jun 2009 16:08:15 +0700


กราบขออภัยอย่างสูง หากอีเมล์นี้รบกวนความเป็นส่วนตัวของท่าน
If you cannot read this mail, please click here

ISSUE 02 : 29 JUNE 2009 (เสริฟ์ถึงจอ ทุกต้นสัปดาห์)
ถึงตรงนี้ คงน่าจะพอมองเห็นภาพ White Ocean Strategy ซึ่งผมเรียกขานเป็นภาษาไทยว่า "กลยุทธ์น่านน้ำสีขาว" ชัดเจนขึ้นบ้าง แต่เพื่อให้แจ่มชัดยิ่งขึ้นไปอีก คงต้องย้อนไปดูเส้นทางของ Red Ocean Strategy และ Blue Ocean Strategy มาพิจารณาประกอบ

อย่างน้อยที่สุด เพื่อจะได้เกิดการเปรียบเทียบ เพราะเหตุผลใด ผมถึงเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า กลยุทธ์น่านน้ำสีขาว จะเป็นแนวทางบริหารจัดการธุรกิจที่สอดคล้องกับโลกยุคใหม่ ที่สลับซับซ้อน อีกทั้งเป็นหนทางนำไปสู่การเติบโตได้อย่างยั่งยืน
สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะชี้ให้เห็นคือ วันนี้โลกธุรกิจไม่ได้มีแค่กลยุทธ์ Red Ocean หรือ Blue Ocean เท่านั้น แต่ยังมีทะเลกว้างใหญ่อื่นๆ อีก
หนังสือที่ชื่อ Blue Ocean Strategy โดย W.Chan Kim และ Renee Maubogne เป็นเบสต์เซลเลอร์เล่มหนึ่ง ที่ได้ให้ภาพทั้ง 2 กลยุทธ์ไว้อย่างชัดแจ้ง ผู้เขียนมีบทสรุปว่า ธุรกิจ หรือบริการ ในโลกยุคปัจจุบัน ที่แหวกว่ายตัวเองอยู่ในน่านน้ำสีคราม จะมีโอกาสกอบโกยความสำเร็จได้มากกว่า สามารถเป็นเวทีในการแจ้งเกิด ให้กับธุรกิจใหม่ๆ ก้าวสู่ธุรกิจระดับโลกมาแล้วมากมาย แน่นอนผมยอมรับในกลยุทธ์การตลาดดังกล่าว (Blue Ocean Strategy) เพราะมีธุรกิจ และบริการมากมาย แจ้งเกิดได้สำเร็จในท้องทะเลนี้

   

เมื่อย้อนไปดูวิวัฒนาการของตลาดในอดีต เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ทั้งสิ้น จากระดับหมู่บ้าน สู่ตำบล อำเภอ จังหวัด และเติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

แรกๆ ช่วงการแข่งขันไม่เขม็งเกลียวมาก แต่ละรายสามารถยืนอยู่ในตลาดได้อย่างมั่นคง แต่เมื่อมีผู้เห็นว่า ตลาดนี้มีผู้บริโภคเพิ่มจำนวนขึ้น สร้างผลกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ จะมีคู่แข่งมากมายที่พร้อมโดดเข้าสู่ตลาด ทุกคนต่างฮ้อตะบึงแข่งกันเพื่อนำหน้าคู่แข่ง ไม่ว่าคู่แข่งมีอะไร จะเกทับให้มากกว่า เหนือกว่า วนเวียนไปมาเช่นนี้

ช่วงมีทรัพยากรในมือมากๆ ยังมีที่ให้ยืนอยู่ได้อย่างมั่นคง แต่หลังจากทรัพยากรหมดลง โอกาสเพลี้ยงพล้ำต่อคู่แข่ง ย่อมเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

เพราะเหตุนี้จึงมีผู้เปรียบเทียบการแข่งขันด้วยกลยุทธ์ "ตาต่อตา ฟันต่อฟัน" แบบนี้ว่า ไม่ต่างไปจาก "น่านน้ำสีเลือด" (Red Ocean) สะท้อนให้เห็นว่า เมื่อรบรากันหนักข้อ ต่างฝ่ายทุ่มกำลังเข้าห้ำหั่น ท้องทะเลจะเต็มไปด้วยเลือดแดงฉาน

 
เนื่องจากการแข่งขันในรูปแบบดังกล่าว ต้องใช้เงินทุนมหาศาล ผลที่ตามมาคือ คุณภาพผลิตภัณฑ์ลดลง ตามมาด้วยกลุ่มผู้บริโภคที่ด้อยคุณภาพ เป็นกลุ่มที่ตัดสินใจซื้อเพราะปริมาณ เพราะราคาล่อตาล่อใจ เพราะการลดแลกแจกแถม
คล้ายๆ กับการแย่งชิงกันจับปลาของชาวประมง ในทะเลตื้นๆ ใกล้ชายฝั่งจะมีเรือประมงลำเล็กลำน้อย หนาแน่นเต็มไปหมด เรือทุกลำพร้อมจะใช้เครืองมือทุกขนาด เพื่อจับปลาโดยไม่รู้ว่า ปลาที่จับขึ้นมาได้นั้น มีคุณภาพมากน้อยเพียงใด คะเนด้วยสายตาจากสินค้า หรือบริการ ที่มีอยู่ในท้องตลาด น่าจะมีมากกว่าร้อยละ 90 ที่ลากตัวเข้าไปอยู่ในทะเลสีเลือด!

ตัวอย่างใกล้ๆ ตัวที่พบเห็นเสมอ เช่น การแข่งขันของยักษ์น้ำอัดลม โค๊ก-เป๊ปซี่ ในตลาดน้ำดำ ซึ่งหาความแตกต่างกันแทบไม่เจอ การแข่งขันในตลาดเครื่องรับโทรทัศน์ ระหว่าง โซนี่-พานาโซนิค-ซัมซุง-แอลจี ที่ไม่มีใครโดดเด่นด้านนวัตกรรมไปกว่ากัน การแข่งขันในตลาดบะหมี่สำเร็จรูป ผงซักฟอก แชมพู รถยนต์ และอีกมากมาย ที่วนไปวนมา กับกลยุทธ์ลดแลกแจกแถม

จำได้ว่าตัวเองเคยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนรายหนึ่ง โดยมีเจตนาเพื่อให้ผู้อ่าน เห็นภาพความแตกต่าง ระหว่าง Red Ocean และ Blue Ocean ได้อย่างชัดเจน วันนั้นผมบอกไปว่า "เมื่อใดก็ตามที่เรามองว่า Customer is the king เท่ากับเรากำลังอยู่ในทะเลสีเลือด"

"เมื่อเราคิดแบบนี้ได้ คู่แข่งก็คิดแบบเดียวกันได้เช่นกัน สุดท้ายก็แข่งกันอยู่ในตลาดเดิมๆ เพราะฉะนั้น จุดเริ่มต้น เราต้องมองก่อนว่า ลูกค้าไม่ใช่พระเจ้า"
แล้วการดำเนินธุรกิจในรูปแบบใดกันล่ะที่เป็น 'พระเจ้า'? ในความเห็นของผม




'ไอเดีย' และ 'ความคิด' ต่างหาก สมควรที่จะเป็นพระเจ้า


การสร้างสรรค์สินค้า หรือบริการด้วยการใช้ 'ไอเดีย' และ 'ความคิด' จนเกิดเป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ก่อให้เกิดตลาดผู้บริโภคใหม่ๆ ที่ยังไม่มีใครเข้ามาแข่งขันแย่งชิง คือ Blue Ocean หรือน่านน้ำสีคราม ทะเลผืนใหม่ที่แวดวงธุรกิจพากันแสวงหา

'ไอเดีย' และ 'ความคิด' ซึ่งกลั่นออกมาจากสมองซีกขวาของมนุษย์ เพื่อมองหาไอเดียใหม่ๆ ที่ตรงกับความต้องการของผู้คน ได้สร้างการเติบโตธุรกิจมาแล้วมากมาย แบรนด์ใหญ่ๆ ของโลกทั้งโซนี่ สตาร์บัคส์ หรือไมโครซอฟท์ ในอดีตเติบโต เพราะ พลังความคิดของสมองซีกขวา ทั้งสิ้น
แต่เอาเข้าจริงแล้ว มีไม่มากนักที่ยืนหยัดอยู่ในตลาดนี้ตลอดกาล ส่วนใหญ่แล้วเมื่อเวลาผ่านไป ผู้ที่อยู่ในน่านน้ำสีครามจะเริ่มถูกท้าทาย เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากพื้นฐานความจริงที่ว่า ใครๆ ก็อยากได้ผลกำไรเป็นกอบเป็นกำ ไม่มีใครอยากหายใจหายคอมีแต่การแข่งขัน เว้นแต่ว่าจะแสวงหานวัตกรรมใหม่ๆ มายกระดับตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้คู่แข่งไล่ตามทัน มีน้อยรายที่ทำแบบนี้ได้

เมื่อเวลาผ่านไป บรรดาผู้อยู่ใน "น่านน้ำสีคราม" ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างยั่งยืน คล้ายๆ กับครั้งหนึ่งเคยอุบัติกับน่านน้ำสีเลือดฉานมาก่อน

จากความจริงที่ว่า ถึงแม้น่านน้ำสีครามจะลึกที่สุด มีฝูงปลาอุดมสมบูรณ์ เพราะกว่าจะนำพาเรือประมงไปถึง ต้องใช้เวลาเป็นแรมเดือน ต้องเตรียมการเป็นอย่างดี เพื่อฝ่าคลื่นลมไปสู่ทะเลลึก แต่ปัญหาที่ตามมาก็คือ หลังจากทำไปไม่นาน ทุกอย่างจะกลับไปซ้ำรอยเดิม ผู้เล่นใหม่ๆ อยากเข้าสู่ตลาดนี้ เรือประมงลำใหม่ๆ พากันบ่ายหน้าไปสู่น้ำลึก เพื่อหวังจะกอบโกยปลาตัวโตๆ ในแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์นี้แข่งกับเราบ้าง

จากตลาดใหม่ในน่านน้ำสีคราม ถูกฉุดให้คืนสู่น่านน้ำสีเลือดอีกครั้ง...

มีกรณีศึกษาของ "น่านน้ำสีคราม" ที่พยายามสร้างสรรค์นวัตกรรมให้เหนือกว่าคู่แข่งขัน พยายามคิดนอกกรอบ เพื่อสร้างตลาดใหม่ๆ ขึ้น แต่ท้ายที่สุดหนีไม่พ้น ถูกคู่แข่งไล่ตามจนทัน

ตัวอย่างใกล้ๆ ตัว อาทิ "ไอโฟน" ของแอปเปิล ที่แจ้งเกิดตลาดตัวเองเป็นผลสำเร็จ แต่ไอโฟนยึดครองตลาดนี้ได้ไม่นาน ปัจจุบันมีคู่แข่งมากหน้า มุ่งมั่นพัฒนา "สมาร์ทโฟน" ที่ฟังก์ชั่นใช้งานไม่แตกต่างกันนัก เพื่อท้าทายความยิ่งใหญ่ของไอโฟน

ปัญหาของไอโฟนคือ หากคิดครอบครองฐานที่มั่นนี้เอาไว้ จะต้องคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ต่อไปแบบไม่มีวันจบสิ้น เพื่อฉีกตัวเองออกจากคู่แข่งไปเรื่อยๆ
อีกตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนถึงความสำเร็จของ "น่านน้ำสีคราม" กระทั่งมีผู้เล่นใหม่ๆ เข้ามาร่วมวงท้าทาย ทำให้บัลลังก์ถูกสั่นคลอน น่านน้ำสีครามแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน
ที่เห็นชัดเจนก็คือ สตาร์บัคส์ ที่เคยครองตำแหน่งดาวรุ่งพุ่งแรงกว่าทศวรรษ หลังจากเนรมิตร้านกาแฟ และเมนูกาแฟรูปโฉมใหม่ขึ้น

เริ่มแรก "สตาร์บัคส์" สามารถปักธงได้อย่างองอาจกลางใจผู้บริโภค แต่เมื่อเวลาผ่านไป บรรดาคู่แข่งสามารถปรับตัวตามได้ทัน ยักษ์ใหญ่ฟ๊าสต์ฟู้ด แม็คโดนัลด์ เปิดตัว "แมคคาเฟ่" ออกมาท้าชน เช่นเดียวกับ "มิสเตอร์โดนัท" ที่ปรับรสชาติกาแฟของตัวเองเสียใหม่ในราคาที่ถูกกว่า

ไม่รวมถึงแฟชั่นการเปิดร้านกาแฟของคนรุ่นใหม่ ที่อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองได้แพร่ระบาดไปทั่วทุกหัวระแหง

เมื่อเป็นกาแฟลาเต้หอมกรุ่นเหมือนกัน เป็นกาแฟคั่วบดเกรดเอเหมือนกัน ขณะที่ราคาจำหน่ายต่อแก้ว กลับถูกกว่าร่วมครึ่ง ย่อมไม่แปลกอะไรที่ผลประกอบการของสตาร์บัคส์ตกต่ำลงอย่างน่าใจหาย โฮเวิร์ด ชูลซ์ ผู้ก่อตั้งอาณาจักรแห่งนี้ ต้องกลับมารับบทบาทการเป็นซีอีโอ บริหารงานแบบเต็มเวลาอีกหน พร้อมกับๆ ท้องน้ำที่เปลี่ยนจากสีน้ำเงินเข้มคืนสู่สีแดง

ปรากฏการณ์เหล่านี้บอกอะไรเราบ้าง ปรากฏการณ์เหล่านี้บอกเราว่า ไม่ว่าจะทุ่มเทสมองซีกขวาคิดหา 'ไอเดีย' และ 'ความคิด' เพื่อฉีกตัวเองหนีสักเพียงใด ไม่นานคู่แข่งสามารถเดินตามเราทัน...

ปรากฏการณ์เหล่านี้บอกเราว่า ทั้ง "น่านน้ำสีเลือด" และ "น่านน้ำสีคราม" ไม่ได้สร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นได้อย่างมั่นคง เพราะอะไร?
เพราะทั้ง Red Ocean Strategy และ Blue Ocean Strategy วัดความสำเร็จของธุรกิจ ด้วยสิ่งที่เป็น "รูปธรรม" วัดกันด้วยตัวเลข ทั้งจากผลกำไร ซึ่งปรากฏอยู่บรรทัดสุดท้ายของบัญชี จากส่วนแบ่งตลาด ราคาหุ้น ฯลฯ ต่างจาก White Ocean Strategy หรือ กลยุทธ์น่านน้ำสีขาว ถึงแม้จะเป็นเรื่อง "นามธรรม" ล้วนๆ แต่เป็นเสมือนฐานราก ที่สร้างความมั่นคง และการเติบโตให้กับธุรกิจได้อย่างยั่งยืนมากกว่า
นึกถึงภาพว่า ธุรกิจยุคปัจจุบัน ที่มุ่งมั่นแข่งขันทุกเวลานาที พร้อมทำทุกสิ่งเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาด เพื่อผลกำไร แต่ไม่สามารถครองใจผู้บริโภคได้เลย

เทียบกับอีกธุรกิจหนึ่ง ที่ไม่ได้มองตัวเลขเป็น "ศูนย์กลาง" ไม่ได้เจริญรอยตามธุรกิจในยุคทุนนิยมสุดโต่ง (Pure Capitalism) แต่วางกรอบธุรกิจมุ่งไปที่การแบ่งปัน ส่งคืนความดีงามแก่โลกใบนี้ เอากำไรแต่พอประมาณ ธุรกิจย่อมได้รับความสุขในการดำเนินงานมากกว่า ขณะเดียวกัน การแบ่งปันผู้อื่น ทำให้องค์กรได้รับการยอมรับ จากผู้บริโภคเป็นการตอบแทน เป็นการย้ายจากทุนนิยมสุดโต่ง (Pure Capitalism ) มาเป็นทุนนิยมยั่งยืน (Sustainable Capitalism)


อะไรที่ทำผมถึงได้เชื่อมั่น กับแนวทางของ "กลยุทธ์น่านน้ำสีขาว" อย่างล้นเปี่ยม เพราะอะไรผมถึงเชื่อมั่นว่า White Ocean Strategy จะเป็นแสงสว่างในโลกธุรกิจยุคต่อไป

คำตอบ คือ โลกในปัจจุบันไม่ได้คับแคบ และไม่ใช่โลกของการแข่งขันในแวดวงธุรกิจเท่านั้น หากเป็นโลกของการ "มอบโอกาส" กับทุกสรรพสิ่งที่อยู่รายรอบตัว

โลกนี้คือความอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะโอกาสในการทำความดี แบ่งปัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และไมตรีจิต เป็นทั้งสถานที่ และห้วงวลานาทีทอง ที่ควรคว้าเอาไว้ อย่าให้หลุดลอยไปง่ายๆ

ถ้าองค์กรมีผลกำไรร่ำรวยขึ้นมา ก็เป็นผลมาจาก "สังคม" หากเราคิดได้แบบนี้ การมีอยู่ขององค์กรจึงไม่ใช่เพื่อตัวเอง ไม่ใช่อยู่เพื่อทำกำไรสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้น หรืออยู่เพื่อกอบโกยผลกำไรในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ต้องเป็นการสร้างผลกำไร สร้างความมั่งคั่งสูงสุดให้กับสังคมส่วนรวม
เป็นการมองเชิงมหภาค ที่ไม่ได้มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่องค์กร แต่มองว่า องค์กรเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่ง ในการขับเคลื่อนสังคมให้มีพลังสร้างสรรค์ก้าวเดินไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น
ที่น่าปลื้มใจก็คือ มีธุรกิจมากมายที่เติบโตอย่างยั่งยืน โดยปัจจัยที่ทำให้บริษัทเหล่านี้ ประสบความสำเร็จมาจาก "กลยุทธ์น่านน้ำสีขาว" ที่ให้ความสำคัญกับการ "แบ่งปัน" และไม่ได้มองแต่ "ตัวเอง" ว่าสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด!
 
อ่านหนังสือดี หนึ่งประโยค เปลี่ยนความคิด หนึ่งความคิด พลิกชีวิต สร้างชาติ
คลิกอ่านบทอื่น ฟรี!!! สำนักพิมพ์ดีเอ็มจี โทร. 0 2685 2254-5 อีเมล์ info @ dmgbooks.com


Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out!

จับตายัดไส้งบไทยเข้มแข็ง 5.7 แสนล. พัฒนาน้ำรับเหนาะๆ 6.7 หมื่นล.-ท่องเที่ยวจิ๊บจ๊อย


วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6787 ข่าวสดรายวัน


จับตายัดไส้งบไทยเข้มแข็ง 5.7 แสนล. พัฒนาน้ำรับเหนาะๆ 6.7 หมื่นล.-ท่องเที่ยวจิ๊บจ๊อย




รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ซึ่งเป็นโครงการลงทุนภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 (SP2) ระยะ 3 ปี ในช่วงปี"52-55 ว่า มีวงเงินรวม 1.43 ล้านล้านบาท โดยแบ่งเป็นโครงการที่รัฐบาลรับภาระการลงทุน วงเงิน 1,110,168 ล้านบาท ครอบคลุมทุกสาขา และโครงการที่รัฐวิสาหกิจรับภาระการลงทุนเอง ในโครงการสาขาพลังงาน การสื่อสาร ขนส่ง วงเงินรวม 321,162 ล้านบาท

สำหรับโครงการที่ต้องลงทุนระยะที่ 1 ในปี"52 บางส่วนต่อเนื่องถึงปี"53 มีวงเงินรวมทั้งสิ้น 342,160 ล้านบาท โดยแหล่งเงินมาจากงบประมาณ 2.1 หมื่นล้านบาท รายได้ของรัฐวิสาหกิจ 64 ล้านบาท เงินกู้ในประเทศตามกฎหมายปกติ 3 พันกว่าล้านบาท และเงินกู้ต่างประเทศตามกฎหมายปกติ 2,771 ล้านบาท ส่วนเงินก้อนใหญ่จะมาจากเงินกู้ตามกฎหมายพิเศษหรือพ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ 4 แสนล้านบาท อีกจำนวน 289,070 ล้านบาท

ทั้งนี้ จากแผนการลงทุน 3 ปี ซึ่งมีโครงการใช้เงินกว่า 6 พันโครงการ เฉพาะปีแรกมีโครงการที่ขอใช้เงินกู้จากพ.ร.ก.กว่าพันโครงการ ที่น่าสังเกตคือ ในการเสนอโครงการขอใช้เงิน ซึ่งรัฐบาลระบุว่าต้องเป็นโครงการที่สามารถดำเนินการได้ทันทีปี"52 ต่อเนื่องถึงปี"53 หรือโครงการประเภทที่ 1 มีใน 12 สาขา วงเงิน 231,311 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 57,759 ล้านบาทถูกบรรจุอยู่ในโครงการประเภทที่ 2 หรือกลุ่มที่พร้อมดำเนินการได้ในปี"53 ซึ่งพบว่ายังมีประเด็นปัญหาด้านความพร้อมและสถานะโครงการที่อาจทำให้ไม่สามารถเริ่มดำเนินการได้ในปีงบ "53 กระจายอยู่ใน 11 สาขา ซึ่งไม่นับแผนการเพิ่มทุนให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐวงเงิน 14,500 ล้านบาท

สำหรับรายละเอียดของโครงการใช้เงินในปีแรก ที่สำคัญๆ อาทิ ด้านสาขาทรัพยากรน้ำและการเกษตรที่ดำเนินการได้ทันที ได้รับจัดสรรเงินถึง 62,422 ล้านบาท 3 อันดับแรกเป็นงบที่อยู่ในความดูแลของกรมชลประทานเกือบ 5 หมื่นล้านบาท ส่วนโครงการที่ยังไม่แน่ชัดว่าจะดำเนินการได้จริง จัดสรรเงินไว้แล้ว 4,916 ล้านบาท รวมโครงการ 2 ประเภทได้รับงบสูงถึง 67,113 ล้านบาท

สาขาขนส่งได้รับการจัดสรรเงินรวม 47,874 ล้านบาท และหากรวมกับโครงการประเภทที่ 2 ในทุกระบบขนส่งจะมีวงเงินกันไว้อีก 17,656 ล้านบาท จะทำให้สาขาขนส่งได้รับจัดสรรเงินถึง 65,530 ล้านบาท ซึ่งโครงการที่ยังไม่พร้อมแต่ถูกบรรจุในโปรแกรมใช้เงินไว้แล้ว เช่น รถไฟฟ้าสายสีชมพู สายสีน้ำตาล และสายสีเขียวส่วนต่อขยาย เป็นต้น

ขณะที่แผนงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว ได้รับ 1,159 ล้านบาท สาขาการเพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ได้รับ 3,179 ล้านบาท ส่วนแผนงานพัฒนาศักยภาพของเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวได้รับ 4,873 ล้านบาท

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลังจากสมาชิกวุฒิสภาที่ผ่านพ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟู และเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ 4 แสนล้านบาท ซึ่งขณะนี้กระทรวงการคลังกำลังดำเนินการออกพันธบัตร 5 หมื่นล้านบาท โดยจะเริ่มกลางเดือนก.ค.นี้ ซึ่งเม็ดเงินที่ได้จะนำไปดำเนินการโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งจะเริ่มในเดือนส.ค.


หน้า 8
http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TURObFkyOHdNVEk1TURZMU1nPT0=&sectionid=TURNd05RPT0=&day=TWpBd09TMHdOaTB5T1E9PQ==

Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com



See all the ways you can stay connected to friends and family

วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2552

"อาสาดำนาเพื่อน้อง" ในวันที่ 25-26 กรกฎาคม 2552 โรงเรียนบ้านพนมดิน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์



Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
อาสา "ดำนาเพื่อน้อง"
by : ฝ่ายส่งเสริมการให้เพื่อสังคม มูลนิธิกองทุนไทย
IP : (124.120.153.193) - เมื่อ : 17/06/2009 11:49 AM

อาสาหน้าฝนนี้ เราอยากชวนเพื่อนๆมาสัมผัสวิถีชีวิตชาวนาไทย มาช่วยกันรื้อฟื้นประเพณีการ "ลงแขกดำนา" เรียนรู้วัฒนธรรมของชาวอีสาน มาล้อมวงกินส้มตำข้างเถียงนาน้อยกัน

มูลนิธิกองทุนไทย ร่วมกับคุณครูและน้องๆ โรงเรียนพนมดิน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ จัดกิจกรรมดีๆ "อาสาดำนาเพื่อน้อง" ในวันที่ 25-26 กรกฎาคม 2552 เพื่อรื้อฟื้นและสืบสานอนุรักษ์วิถีการทำนา ด้วยการมาช่วยกันลงแขกดำนาบริเวณแปลงนาในโรงเรียนคะ สำหรับข้าวที่ได้เราจะนำมาทำเป็น ?กองทุนข้าว? สำหรับบริโภค และ/หรือ จำหน่ายเป็นทุนใช้ในการดำเนินกิจกรรมของโรงเรียนอีกด้วย

กำหนดการ

ศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2552


21.00 น. รวมพลอาสาสมัครที่มูลนิธิกองทุนไทย
21.30 น. ออกเดินทางสู่โรงเรียนบ้านพนมดิน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์

เสาร์ที่ 25 กรกฎาคม 2552

03.00 น. ถึงโรงเรียนบ้านพนมดิน จ.สุรินทร์ /พักผ่อนเอาแรงกันก่อน (เรานอนรวมกันที่โรงเรียน)
06.30 น. ล้างหน้าล้างตา ยืดเส้นยืดสาย
07.30 น. เติมพลังอาหารเช้า
09.00 น. กล่าวต้อนรับ โดย ผู้อำนวยการโรงเรียน/ผู้นำชุมชน

ภาระกิจ และรายละเอียดงาน แบ่งกลุ่ม

9.30-12.00 น. ปฏิบัติการดำนา : ไถนา/ ดำนา/ ตกกล้า (ถอนกล้า)
12.00-13.00 น. อาหารเที่ยงข้างเถียงนาน้อย (ส้มตำรสเด็ด อาหารพื้นบ้าน)
13.30-16.00 น. ปฏิบัติการดำนา (ต่อ)
18.00-19.00 น. ล้อมวงกินข้าวเย็น
19.30-21.00 น. ชมการแสดงวัฒนธรรมพื้นบ้านจากน้องๆ และเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมกับชาวบ้าน
21.30 น. เหนื่อยนัก พักเอาแรงก่อน

อาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม 2552


06.30 น. ล้างหน้าล้างตา ยืดเส้นยืดสาย /เยี่ยมชมวิถีชีวิตชาวนาไทย
07.30 น. เติมพลังอาหารเช้า
09.00 น. ปฏิบัติการดำนา (ต่อ)/เรียนรู้วิถีชีวิต วัฒนธรรม
12.00 น. อาหารเที่ยง
13.30 น. ล่ำลาน้องๆ คุณครู และชาวบ้าน
14.30 น. แวะชมปราสาทตาเมือง /เดินทางกลับสู่กรุงเทพ โดยสวัสดิภาพ

สมทบค่าใช้จ่าย ท่านละ 1,600 บาท

ค่าเดินทาง 900 บาท (ไป-กลับ กรุงเทพ ถึง หมู่บ้าน และพาเที่ยว โดยรถตู้)
ค่าอาหาร 300 บาท (อาหาร 5 มื้อๆละ 60 บาท)
ค่าประกันอุบัติเหตุ 100 บาท
ค่าบำรุงที่พัก 150 บาท
สมทบอุปกรณ์ 150 บาท
ร่วมด้วยช่วยบริจาค
- สิ่งของบริจาคให้กับน้องๆโรงเรียนบ้านพนมดิน เช่น สมุด หนังสือ ปากกา อุปกรณ์กีฬาฯ
- สมทบเงินช่วยเหลือ ค่าอาหาร เครื่องดื่ม ค่าน้ำมันรถไถนา

สมัครร่วมกิจกรรม หรือ บริจาคสนับสนุนกิจกรรมได้ที่
ชื่อบัญชี มูลนิธิกองทุนไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาเพชรบุรีตัดใหม่ เลขบัญชี 043-2 47734-4
กรุณาส่งหลักฐานการโอนเงินมาที่ ทางโทรสาร 0-2718-1850 หรือ givegang@gmail.com พร้อมแจ้งชื่อ-นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ติดต่อกลับด้วยคะ

การเตรียมตัวอาสาสมัคร
กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่ต้องตากแดด และก้มๆเงยๆอยู่ตลอดเวลา ในกรณีที่อาสาทำไม่ไหวสามารถหยุดพักเป็นช่วงๆได้คะ อย่าฝืนทำเดี๋ยวเป็นลม (55) งานนี้เราจะมีน้องๆในโรงเรียน และชาวบ้านมาช่วยรับรองไม่เหงาคะ
- ของใช้ส่วนตัว และยาประจำตัว
- อุปกรณ์การนอน เช่น ถุงนอน ผ้าห่ม เราจะนอนรวมกันที่โรงเรียน
- อุปกรณ์กันแดด เช่น หมวก ครีมกันแดด เสื้อแขนยาว
- เสื้อผ้า/ชุดที่เลอะเปอะเปื้อนได้ ไม่แน่ใจว่าเราจะไปเจอฝนหรือเปล่า ยังไงเตรียมเสื้อกันฝนไปด้วยก็ดีคะ
- กลางคืนยุงน่าจะเยอะ เตรียมยาทากันยุงไปด้วยนะคะ
- ต้องเป็นคนอยู่ง่าย กินง่าย สำหรับอาหารทางชาวบ้านจะเป็นผู้จัดเตรียมให้ เป็นอาหารพื้นบ้าน เน้นผัก
- ความพร้อมของร่างกาย และจิตใจอาสา
- ขอความร่วมมืออาสาไม่นุ่งสั้น ใส่เสื้อสายเดี่ยวคะ

สอบถามรายละเอียดได้ที่
ฝ่ายส่งเสริมการให้ มูลนิธิกองทุนไทย โทรศัพท์ 02-3144112-3 ต่อ 301
ขอสาย พี่ตือ แอ๋ว หรือคุยกับ แอปเปิ้ล 080-2923883 ติดต่อทาง givegang@gmail.com

"เราสร้างโอกาสร่วมกันในการพัฒนาสังคม"

>>>1/8 ส.ค. กิจกรรมคิดส์ดี : ชวนน้องปลูกป่าถวายแม่ ฤดูกาลที่ 3 (ชวนอาสา Givegang มาสร้างสุขให้กับน้องๆ ตาบอด ด้วยการพาน้องๆไปปลูกต้นไม้เนื่องในวันแม่แห่งชาติ)
>>>15-16 ส.ค. จัดทำเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ปี 2 บ้านห้วยระหงษ์ อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์
>>>21-22 ส.ค. รวมพลังอาสา ปลูกป่าอาหารสัตว์ เขตรอยต่อ 3 จังหวัด (อุตรดิตถ์ สุโขทัย แพร่)




Invite your mail contacts to join your friends list with Windows Live Spaces. It's easy! Try it!

ทุน API Fellowships Program

Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.tzuchithailand.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.biz652.com
http://dbd-52.hi5.com







ทุน API Fellowships Program

by : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
IP : (124.120.153.193) - เมื่อ : 17/06/2009 10:34 AM


สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

Asian Public Intellectuals (API) Fellowships Program

ทุน API Fellowships Program

ทุนมูลนิธินิปปอนเพื่อปัญญาชนสาธารณะแห่งเอเชีย (โครงการปัญญาชนสาธารณะแห่งเอเชีย) มุ่งส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกันในหมู่ปัญญาชนสาธารณะ และเพื่อสนับสนุนการเติบโตของภาคสาธารณะอันจะเพิ่มศักยภาพในการตอบสนองความต้องการของภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทุนนี้สนับสนุนให้ปัญญาชนสาธารณะในเอเชีย ได้ดำเนินโครงงานกิจกรรมและ/หรืองานวิจัยที่สร้างเสริมภูมิปัญญา วัฒนธรรมและสัมพันธ์กับวิชาชีพของผู้สมัครในประเทศภาคี และสอดคล้องกับประเด็นหลักที่กำหนดไว้ 3 หัวเรื่อง ได้แก่

1. บริบทด้านสังคม ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมกับอัตลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

2. ข้อพิจารณาเกี่ยวกับสภาวการณ์ของมนุษย์และการแสวงหาความยุติธรรมในสังคม

3. โครงสร้าง กระบวนการ และทางเลือกสำหรับโลกาภิวัตน์


คุณสมบัติของผู้สมัคร
ผู้สมัครต้องถือสัญชาติหรืออาศัยอย่างถาวรอยู่ในประเทศใดประเทศหนึ่งในห้าประเทศภาคีที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้แก่ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย และต้องกำลังพำนักอยู่ในประเทศนั้นในระหว่างการสมัครขอรับทุน สามารถเข้ารับการสัมภาษณ์ตามวัน เวลา และสถานที่ที่กำหนด สามารถดำเนินโครงงานกิจกรรมและ/หรืองานวิจัยในระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 และเสร็จสิ้นภายในวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 มีความรู้ภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานและ/หรือภาษาของประเทศที่จะเดินทางไปดำเนินโครงงานกิจกรรมและ/หรืองานวิจัย มีภูมิลำเนาหรือฐานการทำงานอยู่ในภูมิภาคหรือในประเทศที่เข้าร่วมโครงการฯ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต


รายละเอียดทุน

ทุนครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงงานกิจกรรมและ/หรืองานวิจัย ตลอดระยะเวลาสูงสุด 12 เดือน และยังรวมค่าใช้จ่ายประจำวัน ค่าที่พัก ค่าเดินทาง ตลอดจนค่าธรรมเนียมประกันอุบัติเหตุระหว่างการเดินทาง

วันปิดรับสมัคร : 31 สิงหาคม 2552

ข้อมูลเพิ่มเติมและการรับสมัคร

ดูได้ที่ http://www.api-fellowships.org/หรือ

โครงการทุน API สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พญาไท กรุงเทพฯ 10330

โทรศัพท์ 0-2218-7422 อีเมลล์ api_fellowships@chula.ac.th






See all the ways you can stay connected to friends and family

โครงการ The Rockefeller Bellagio Residency Program



Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com  

โครงการ The Rockefeller Bellagio Residency Program

by : Rockefeller Foundation
IP : (124.120.156.60) - เมื่อ : 12/06/2009 11:26 AM

เนื่องด้วยมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ (Rockefeller Foundation) นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ได้ร่วมมือกับสถาบันการศึกษานานาชาติ (Institute of International Education หรือ IIE) ในการประชาสัมพันธ์ โครงการ The Rockefeller Bellagio Residency Program ที่ เมือง Bellagio ประเทศ อิตาลี เป็นระยะเวลา 2-4 สัปดาห์ แก่นักวิชาการ นักวิจัย และศิลปินในสาขาต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

• เอเชียศึกษา (Asian Studies)
• มานุษยวิทยา (Anthropology)
• เศรษฐศาสตร์ (Economics)
• ศึกษาศาสตร์ (Education)
• อักษรศาสตร์; การละคร (Theatre and Dance), การประพันธ์กลอน, นวนิยาย, การเขียนบทละคร(Poetry, Novel Writing, Playwrighting), และ วรรณคดี (literacy Studies)
• นิเทศน์ศาสตร์ ; การทำหนัง (Film and Media Studies, Filmmaking)
• ประวัติศาสตร์ (History)
• ศิลปกรรมศาสตร์ ; การประพันธ์เพลง (Song Composing) และ ทัศนศิลป์ (Visual Arts)
• ปรัชญา (Philosophy)
• วิทยาศาสตร์ (Science)
• รัฐศาสตร์ (Political Science)
• กฏหมาย (Law and Policy)

โดยมีจุดประสงค์เพื่อที่จะให้ผู้เข้าร่วมโครงการอันได้แก่ นักวิจัย นักวิชาการ และ ศิลปิน ในสาขาต่าง ๆได้ใช้โอกาสนี้ในการทำงานวิจัยและศึกษาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนักวิชาการจาก ประเทศอื่น ๆ โดยจะให้การสนับสนุนในเรื่อง ที่พัก และอาหาร ทั้งหมดในระหว่างอยู่ที่ Bellagio Center โดยในบางกรณี ผู้สมัครสามารถ ขอทุนเพิ่มเติม สำหรับตั๋วเครื่องบิน และค่าเดินทางไปยัง Bellagio Center อีกด้วย ทั้งนี้ผู้ที่มีความสนใจ

สามารถดูรายละเอียดการสมัครเพิ่มเติมที่

http://www.rockfound.org/bellagio/bellagio.shtmlและ

สมัครผ่านทางเวบไซด์

http://bellagioapplication.rockfound.org/bellapp.aspx

ได้จนถึงวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2552 โดยผู้ผ่านการคัดเลือกจะได้เข้าร่วมโครงการในเดือน กุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม ปี พ.ศ. 2553

หากท่านต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ
คุณ ปนุท ชวาลกุล เจ้าหน้าที่ฝ่ายทุนการศึกษา สถาบันการศึกษานานาชาติ (IIE)
ได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-652-0653 ต่อ 119, แฟกซ์ 02-652-0633 หรือ อีเมล์ panut@bkk.iie.org

 


What can you do with the new Windows Live? Find out

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ทีโอที-CAT เร่งติดตั้งไวไฟทั่วกรุง-หัวเมือง

 
Pic_14470

ทีโอที ระบุไวไฟมีระบบเติมเงินใช้งานนานแล้ว ขณะที่ CAT เผย 4 จุดนำร่องในปั๊มบางจาก ได้แก่ บางบัวทอง แคราย พหลโยธิน 36 และพัทยาเหนือ เริ่มทดลอง15 มิ.ย.52 ...     

ผู้สื่อข่าวรายงานงานว่า หลังจากบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร มอบโครงการกรีนบางกอกไวไฟ เมื่อปี 2551 ที่ผ่านมา ให้คนกรุงเทพฯ ทดลองใช้งานอินเทอร์เน็ตไร้สาย ความเร็ว 64 Kbps โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ จะมีระยะสิ้นสุดใช้งานฟรีจากการลงทะเบียนจนถึงวันที่ 30 มิ.ย.2552 นี้  

นายวิเชียร นาคศรีนวล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทีโอทีมีโครงการให้บริการไวไฟผ่านการซื้อบัตรแบบพรีเพด หรือระบบเติมเงิน โดยมีหน่วยงานเทศบาลเป็นลูกค้าหลัก ติดตั้งตามร้านกาแฟ สามารถหาซื้อได้ที่โรงแรม ศูนย์การค้า และปั๊มน้ำมัน บัตรราคา 60 บาทใช้งานได้ 60 นาที ราคา 100 บาท ใช้งานได้ 120 นาที ราคา 150 บาท ใช้งานได้ 300  นาที

รองกก.ผจก.ใหญ่ บ.ทีโอที กล่าวต่อว่า หลังเปิดให้บริการมาหลายปี คาดว่าอนาคตจะเปิดโอกาสประมูลโครงการ เพื่อดำเนินการให้กระจายออกสู่หัวเมือง เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น ภูเก็ต และหาดใหญ่ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม มองว่า ไวไฟกับการใช้งานในเขตกรุงเทพฯ และตามหัวเมืองต่างๆ มีความสำคัญ ถ้าหากยังไม่มีโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบใดให้บริการคนที่อยู่นอกสถานที่ต่ออินเทอร์เน็ตได้ ทั้งนี้ ถ้ามีบริการ 3จี เชื่อว่าจะเกิดความสะดวกรวดเร็วมากกว่าที่เป็นอยู่

แหล่งข่าวจาก บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT กล่าวว่า ล่าสุด CAT ร่วมมือกับสถานบริการน้ำมันของบางจาก นำร่องให้บริการอินเทอร์เน็ตไร้สาย จำนวน 4 แห่ง ได้แก่ 1.บางบัวทอง 2.แคราย 3.พหลโยธิน 36 และ4.พัทยาเหนือ โดยเปิดให้ลูกค้าใช้บริการผ่านการลงทะเบียนระยะเวลา 1 ชั่วโมง ตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย.2552 ที่ผ่านมา

แหล่งข่าวจาก CAT กล่าวต่อว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถตั้งเป้าจำนวนลูกค้าที่มาใช้บริการผ่านการลงทะเบียน และยังไม่สามารถกำหนดระยะเวลาให้บริการได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการทดลองความนิยมของการใช้งาน อย่างไรก็ตาม ถ้าผลตอบรับออกมาประสบความสำเร็จจะพิจารณาดำเนินโครงการต่อไป

แหล่งข่าวจากCATกล่าวด้วยว่า ลูกค้าสามารถรับทราบข้อมูลการประชาสัมพันธ์ผ่านเอกสารจากปั๊มน้ำมันโดยตรง และรายการวิทยุบางสถานี อย่างไรก็ตาม โครงการทดลองดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับการสิ้นสุดระยะของทรูแต่อย่างใด เนื่องจากเป็นผู้ให้บริการด้านนี้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงคิดโครงการให้บริการ เพื่อรองรับการใช้งานของประชาชน อีกทั้งเป็นแผนพัฒนาการทำงานด้วย

http://www.thairath.co.th/content/tech/14470

คดี"212คาเฟ่"ส่อยืดศาลนัดสืบพยานเม.ย.53

 
คดี“212คาเฟ่”ส่อยืดศาลนัดสืบพยานเม.ย.53
 
Pic_14726

เว็บมาสเตอร์ ขึ้นศาลอาญานัดแรกเพื่อเปิดคดี ระบุ ชีวิตขณะนี้ ต้องอยู่กับความไม่แน่นอน ไม่กล้าลงทุนเพิ่ม ถือโอกาสนี้ทบทวนข้อผิดพลาด...

นายศิริพร สุวรรณพิทักษ์ เจ้าของเว็บไซต์ www.212cafe.com ผู้ให้บริการเว็บไซต์ 212cafe.com ที่ถูกจับกุมภายใต้ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (4) และมาตรา 15 เมื่อวันที่ 23 พ.ค.2551 ในข้อหาปล่อยให้มีภาพที่มีลักษณะลามกปรากฏอยู่บนเว็บบอร์ด เปิดเผยความรู้สึกหลังขึ้นศาลอาญาเปิดคดีนัดแรกวานนี้ (22 มิ.ย.) ว่า หลังจากที่ตกเป็นผู้ต้องหา และจำเลยในคดีนี้มากว่า 1 ปี รู้สึกตื่นเต้นและไม่ค่อยมั่นใจเท่าใดกับการขึ้นศาลนัดแรก ทั้งนี้ศาลได้นัดให้สืบพยานคดีนี้ครั้งแรก ในช่วงปลายเดือน เม.ย.2553

เจ้าของเว็บไซต์ www.212cafe.com กล่าวต่อว่า คดีนี้มาจากเรื่องของการใช้ช่องสื่อสารทางอินเทอร์เน็ต แต่กลับส่งผลร้ายแรงต่อชีวิต เป็นคดีอาญาแผ่นดินที่หากถูกตัดสินว่าผิดจริง ต้องถูกลงโทษหนัก แต่การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่แค่ยกหูโทรศัพท์แจ้งเรื่องครั้งเดียว จากนี้ไปต้องพิจารณาข้อผิดพลาดที่ผ่านมา เพื่อเป็นบทเรียน โดยเท่าที่ดูหลักฐานที่มีอยู่ ทำให้รู้ว่าทางตำรวจ และเจ้าพนักงานคิดกับคดีนี้อย่างไร ทั้งที่เรื่องการโพสต์รูปดูไปแล้วไม่น่าจะมีอะไร แต่โทษทางกฎหมายกับรุนแรงมาก และอาจต้องใช้เวลาในการต่อสู้คดีที่ยาวนาน นับเวลาตั้งแต่ถูกจับเมื่อปี 2551 จนถูกสั่งฟ้องขึ้นศาลในปี 2552 และศาลนัดสืบพยานนัดแรกในปี 2553 เริ่มกระทบกับความมั่นใจในการทำธุรกิจ เพราะไม่กล้าลงทุนด้วยเงินจำนวนมาก เพราะต้องแบ่งมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับสู้คดีต่อไป

ด้าน นางภูมิจิต ศิระวงศ์ประเสริฐ อนุกรรมการ สมาคมผู้ดูแลเว็บไทย กล่าวในฐานะผู้ที่ติดตามคดีนี้มาตลอดว่า แทนที่ พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 จะสร้างประโยชน์ และปกป้องผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ แต่สุดท้ายด้วยกรณีคดีความแบบนี้ พรบ.ฉบับนี้อาจถูกใช้เป็นเครืองมือ สำหรับกลั่นแกล้งโดยบุคคลที่ไม่หวังดี เพื่อส่งผลให้ภาพลักษณ์ของกฎหมายฉบับนี้เสียไป หรือ ผิดไปจากเจตนารมณ์เดิมของการร่างกฎหมาย เพื่อรับมือกับคดีทางคอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตาม เมื่อกฎหมายมีข้อบกพร่อง เพราะเทคโนโลยีไอทีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ดังนั้น จึงจำเป็นที่ต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเหล่านี้ ให้สอดคล้องกับโลกปัจจุบัน รวมทั้งเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ และภัยออนไลน์ให้ทัน

http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=54247

ก.ไอซีทีเดินหน้า GCC 1111 ยันใช้งบคุ้มค่า

 

ก.ไอซีทีเดินหน้า GCC 1111 ยันใช้งบคุ้มค่า

ชี้ยอดผู้ใช้เพิ่มต่อเนื่องทุกปี เผยไตรมาสแรกปี 2552 แตะ 6 แสนครั้งต่อเดือน เล็งจับบริการ e-Payment มาเสริม มั่นใจช่วยลดช่องว่างรัฐบาลกับประชาชน...

วานนี้ (26 มิ.ย.) นายสือ ล้ออุทัย ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวในงานแถลงข่าวศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน หรือ GCC (Government Contact Center) 1111 ว่า การขยายตัวของเทคโนโลยีสารสนเทศต่อการดำเนินชีวิตและบริการในปัจจุบัน กระทรวงฯ จึงผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐเห็นประโยชน์และความสำคัญในการนำเทคโนโลยีไอซีทีมาใช้ ในการบริหารและจัดการข้อมูล เพื่อให้บริการแก่ประชาชน ด้วยหมายเลข 4 หลัก คือ 1111 ในการเชื่อมโยงฐานข้อมูล 20 กระทรวงและ 10 หน่วยงาน ทำให้ประชาชนสามารถติดต่อข้อมูล ข่าวสาร แบบฟอร์มเอกสาร หรือแจ้งเรื่องร้องเรียนหน่วยงานภาครัฐได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

ปลัดกระทรวงไอซีที กล่าวต่อว่า การรวมหมายเลข 4 หลักในการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐเป็นหมายเลข 1111 ช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้บริการของประชาชน และประหยัดค่าใช้จ่าย งบประมาณ ทรัพยากรบุคคล และอุปกรณ์ของแต่ละหน่วยงานได้เป็นอย่างดี จากการสำรวจ พบว่า ยอดการใช้บริการดังกล่าวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยในปี 2551 มีผู้ใช้บริการจำนวน 5.5 แสนครั้งต่อเดือน ส่วนำตรมาสแรกของปี 2552 ยอดผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 6 แสนครั้งต่อเดือน นอกจากนี้ ผลการสำรวจของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ระบุว่า 90% ของประชาชนที่ใช้บริการฯ มีความพึงพอใจ

นายสือ กล่าวอีกว่า กระทรวงไอซีทีใช้งบประมาณในโครงการดังกล่าว 109 ล้านบาทต่อปี เฉลี่ยเดือนละ 9 ล้านบาท พบว่า ข้อมูลที่ประชาชนนิยมสอบถามผ่านหมายเลข 1111 ได้แก่ โครงการช่วยเหลือค่าครองชีพ 2,000 บาท โครงการต้นกล้าอาชีพ และข้อมูลด้านเอกสาร รวมถึง เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น อาทิ สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ฯลฯ ในอนาคต กระทรวงไอซีทีมีนโยบายขยายการให้บริการ e-Payment ขั้นพื้นฐาน เพื่อรับชำระค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ และภาษี แก่ประชาชนผ่านหมายเลขดังกล่าว เพื่อลดช่องว่างระหว่างรัฐบาลกับประชาชน และสนองนโยบายสู่การเป็นรัฐบาลอิเล็อกทรอนิกส์ต่อไป

ด้าน นายอาษา สัตยุตม์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชนเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2547 นอกจากหมายเลข 1111 ปัจจุบัน ประชาชนยังสามารถสอบถามข้อมูล บริการ และร้องเรียนการบริการหน่วยงานภาครัฐผ่านโทรสาร อีเมลล์ Contact_1111@gcc.go.th และเว็บไซต์ gcc.go.th โดยมีบุคลากรทั้งสิ้น 400 คนสำหรับให้บริการ พบว่า ข้อมูลที่ประชาชนสนใจและต้องการสอบถามมากที่สุด คือ สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อตนเองหรือสังคม บริษัทฯ จึงพัฒนาองค์ความรู้ของบุคลากร ข้อมูล เทคโนโลยี และโปรแกรมในการบริการ เพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าวที่เพิ่มขึ้น อาทิ บริการ Job Matching หรือ Mapping เป็นต้น

วิจัยศักยภาพไอซีที



Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com


ซอฟต์แวร์ ดีบีทู
   
นางเจษฏา ไกรสิงขร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซอฟต์แวร์ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ไอบีเอ็ม เปิดตัวซอฟต์แวร์จัดการฐานข้อมูล ดีบีทู (DB2) เวอร์ชั่น 9.7 ใหม่ ช่วยองค์กรเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานประหยัดเวลาในการจัดการข้อมูล    และประหยัดค่าใช้จ่าย โดยมีความสามารถพิเศษคือทำงานบนเทคโนโลยีหรือภาษาของซอฟต์แวร์ฐานข้อมูลอื่นได้อย่างสมบูรณ์  ทั้งภาษาพีแอล/เอสคิวแอล, เอสคิวแอล/พีเอสเอ็ม หรือ เจดีบีซี มีความสามารถในการบีบอัดข้อมูลขั้นสูง ช่วยลดปริมาณพื้นที่จัดเก็บข้อมูลในอุปกรณ์สตอเรจ และรองรับเทคโนโลยีทางด้านเอ็กซ์เอ็มแอล ช่วยให้การบริหารจัดการข้อมูลในองค์กร สามารถทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น

วิจัยศักยภาพไอซีที
   
สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ให้ทุนรองศาสตราจารย์ ดร.อัศนีย์ ก่อตระกูล และคณะจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำวิจัย เรื่อง "การศึกษาสถานภาพการวิจัย ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ" ผลการวิจัย    พบว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT) มีบทบาทต่อการพัฒนาประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ และความมั่นคง แต่การนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้ในการพัฒนาประเทศนั้น กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศฯ ได้มุ่งเน้นไปที่ 5 กิจกรรม คือเทคโนโลยี   เพื่อพัฒนาภาครัฐ พัฒนาด้านการพาณิชย์      พัฒนาด้านอุตสาหกรรม พัฒนาด้านการศึกษา และพัฒนาด้านสังคม นอกจากนี้พบว่ามักใช้ ไอซีที กับงานวิจัยประยุกต์มากกว่าที่จะใช้กับงานวิจัยขั้นพื้นฐาน ซึ่งหน่วยงานวิจัยยังให้ทุนที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการใช้ นักวิจัย วิจัยตามความต้องการตนเอง ขาดความต่อเนื่องและเป็นเพียงต้นแบบมากกว่านำไปสร้างเป็นผลิตภัณฑ์

ภาพยนตร์ดาราศาสตร์
   
ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา หรือท้องฟ้าจำลอง รังสิต ร่วมกับศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย เปิดตัวภาพยนตร์เพื่อการศึกษา    "กำเนิดชีวิต" และ "มหัศจรรย์แห่งดวงดาว" ซึ่งจะจัดฉายภายใต้โดมท้องฟ้าจำลอง ที่มีความทันสมัยมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยเครื่องฉายระบบดิจิทัลผ่านโปรเจคเตอร์ถึง 6 ตัว ดูหนังในมุมมอง 180 องศา นอกจากนี้ยังมีนิทรรศการถาวร อาทิ มหัศจรรย์ แห่งชีวิต โลกล้านปี โลกดาวเคราะห์ เมืองเด็กแดนวิทยาศาสตร์มหัศจรรย์ และฐานกิจกรรมวิทยาศาสตร์อีกมากมาย ค่าเข้าชมเพียง 30 บาท/ที่นั่ง โดยภาพยนตร์ "กำเนิดชีวิต" จะเริ่มฉาย 24 มิถุนายนนี้ ส่วนเรื่องมหัศจรรย์แห่งดวงดาวจะเปิดฉายในวันที่ 1 ธันวาคมเป็นต้นไป ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา รังสิต  เปิดให้บริการในวันอังคาร-วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 09.00-15.00 น.
 
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=4846&categoryID=316


Invite your mail contacts to join your friends list with Windows Live Spaces. It's easy! Try it!

เปิดสื่อสารความถี่ใหม่



Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com


เปิดสื่อสารความถี่ใหม่
   
กทช.สนับสนุนภารกิจสำนักราช เลขาธิการ ส่งมอบวิทยุและอุปกรณ์สื่อสารพร้อมอนุญาตให้จัดตั้งสถานีฐานและใช้คลื่นความถี่ใหม่ เพื่อความคล่องตัว
   
คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทช.) ได้ส่งมอบเครื่องวิทยุและอุปกรณ์สื่อสารเพื่อใช้ในการสนับสนุนภารกิจของสำนักราชเลขาธิการ โดยมีพลอากาศเอกกำธน สินธวานนท์ องคมนตรี เป็นประธานในพิธี
   
พลอากาศเอกกำธน กล่าวว่า ที่ผ่านมาสำนักราชเลขาธิการ ใช้ระบบการสื่อสารจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน ซึ่งขาดความเป็นเอกภาพเป็นหนึ่งเดียวกัน การสนับสนุนอุปกรณ์การสื่อสารจาก กทช. จะช่วยทำให้ การปฏิบัติภารกิจของสำนักราชเลขาธิการเกิดความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    
ศาสตราจารย์ประสิทธิ์ ประพิณมงคลการ  กรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) กล่าวว่า กทช.สนับสนุนงบประมาณจัดซื้อวิทยุและอุปกรณ์สื่อสารจำนวน 31 ล้านบาท   พร้อมทั้งอนุญาตให้สำนักราชเลขาธิการ ตั้งสถานีฐาน จำนวน 5 สถานี ที่ กทช. กรุงเทพฯ พระตำหนักจักรีบงกช จังหวัดปทุมธานี พระตำหนักธงน้อย จังหวัดน่าน ที่ทำ การไปรษณีย์อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐมและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ รวมถึงตั้งสถานีเคลื่อนที่ทางบก 75 สถานีและใช้เครื่องวิทยุคมนาคมในกิจการเคลื่อนที่ทางบกโดยใช้ความถี่วิทยุ 143.500, 149.500, 149.825, 154.825, 163.625 และ 168.625 ระบบ VHF/FM ความกว้างแถบความถี่ไม่เกิน 16 kHz.


Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out!

วอนรัฐสางปมไอที (1) : ช่วยทำอะไรสักอย่างกับกูเกิล



Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com


วอนรัฐสางปมไอที (1) : ช่วยทำอะไรสักอย่างกับกูเกิล
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 มิถุนายน 2552 18:40 น.
บทความชุด"วอนรัฐสางปมไอที"เกิดขึ้นเพื่อรวบรวมคำขอร้องหน่วยงานรัฐบาลของแหล่งข่าวในวงการไอทีไทย ซึ่งมองเห็นปมปัญหาที่รัฐบาล กระทรวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างนิ่งเฉยละเลย จริงอยู่ที่การนำปัญหาเหล่านี้มาประกาศต่อสาธารณชนจะไม่ได้ทำให้ปมปัญหาถูกคลี่คลายอัตโนมัติ แต่อย่างน้อย ประชาชนคนไทยก็จะได้เปิดหูเปิดตา รับรู้ว่ายังมีปัญหาอะไรที่เป็นปมขมวดขวางทางการเติบโตของไอทีไทยในอนาคต
       
       "วอนรัฐสางปมไอที"ขอประเดิมบทแรกด้วยชื่อตอนว่า "ช่วยทำอะไรสักอย่างกับกูเกิล" คำขอร้องรัฐบาลเกี่ยวกับเสิร์ชเอนจิ้นยักษ์ใหญ่ระดับโลกนี้อัดแน่นด้วยคำตัดพ้อต่อว่าภาครัฐอย่างถึงพริกถึงขิงแต่เป็นเรื่องจริง คำขอนี้มาจากแหล่งข่าวนักวิจัยไทยที่อึดอัดเต็มทนกับการแผ่อิทธิพลของกูเกิลที่อาจทำให้ประเทศไทยเสียเอกราชในโลกไอที!!

เพราะกูเกิลกำลังจะเป็น"เทสโกโลตัสออนไลน์"
       
       เป็นที่รู้กันว่าร้านโชว์ห่วยมีสิทธิ์กอดคอกันตายหากซูเปอร์สโตร์ทุนหนาจากต่างประเทศแห่เข้ามาตั้งสาขาในประเทศไทย แล้วอาศัยกลยุทธ์จำหน่ายสินค้าราคาถูกกว่า สำหรับโลกไอที แหล่งข่าวมองว่ากูเกิลกำลังจะกลายเป็นซูเปอร์สโตร์ที่ดึงดูดใจผู้ใช้ด้วยบริการดีและฟรี โดยที่ผู้บริโภคไม่ได้รู้ตัวเลยว่ากำลังทำลายอุตสาหกรรมท้องถิ่นไทยให้ย่ำแย่ลง
       
       "กูเกิลกำลังจะเป็นเทสโกโลตัสออนไลน์ ให้บริการฟรี แต่ทำให้อุตสาหกรรมไทยลำบาก ไทยเราใช้กูเกิลมากจนตอนนี้คนไทยจะซื้อโฆษณาออนไลน์ต้องผ่านกูเกิลหมด ธุรกิจโฆษณาออนไลน์ของไทยเราเป็นเครื่องมือให้เค้า สัดส่วนรายได้ 30 เปอร์เซ็นต์ที่อยู่กับวงการโฆษณาออนไลน์ของไทยมีมันมีแต่ตัวเลข เม็ดเงินจริงๆไปอยู่ที่กูเกิล"
       
       กูเกิลเป็นบริการสืบค้นข้อมูลออนไลน์ที่หารายได้จากการโฆษณา ความนิยมใช้กูเกิลของคนไทยออนไลน์มากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ทำให้กูเกิลสามารถเก็บเงินจากบริษัทสัญชาติไทยเป็นมูลค่าสูงมาก จุดนี้กูเกิลไม่เคยให้ข้อมูลรายได้จากประเทศไทยโดยอ้างว่าเป็นกฏของบริษัท ซึ่งแหล่งข่าวเชื่อว่าน่าจะมีมูลค่าหลักพันล้านบาท เป็นการได้เงินแบบเนื้อๆไม่ต้องเสียภาษี เพราะเหตุผลว่ากูเกิลไม่มีสำนักงานในประเทศไทย
       
       ขณะที่บริษัทโฆษณาออนไลน์ในไทย ทำเงินได้น้อยกว่าแต่ต้องเสียภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะมีสำนักงานในประเทศไทย กลายเป็นความไม่เท่าเทียมที่น่าคับข้องใจเหลือเกิน
       
       "รัฐต้องปกป้องคนไทย ด้วยมาตรการอะไรก็แล้วแต่ อย่างภาษี สรรพากรจะอ้างก็ได้ว่ากูเกิลเป็นบริษัทออนไลน์ไม่มีสำนักงานในประเทศไทย แต่ต้องคิดว่า อีกหน่อยทุกคนก็ออนไลน์กันหมด บอกว่าไม่มีสำนักงานในไทยไม่ต้องเสียภาษี แต่ถ้าตั้งต้องเสีย บริษัทพวกนี้ก็ไปตั้งที่อื่นกันหมด สิงคโปร์ มาเลเซีย เพราะขั้นตอนมันน้อยกว่า ไม่ต้องเสียภาษีมาก ไม่มีใครตั้งในประเทศไทย ถ้ามีก็มีน้อยมาก แล้วถึงวันนั้นสรรพากรจะทำยังไง ไม่รู้จะทำยังไงก็มาขึ้นภาษีกับคนในชาติอย่างนั้นหรือ สุดท้ายประเทศก็ไม่รอด"
       
       อีกสิ่งสำคัญคือ สรรพากรไทยกำลังละเลยการสำรวจข้อมูลที่ควรรู้
       
       "ตรงนี้ก็เหมือนกัน สรรพากรไม่รู้ตัวเลขรายได้ที่กูเกิลทำได้จากประเทศไทย ทั้งที่มันเกินพันล้านแน่ๆ คุณบ้ารึเปล่า ไม่รู้ตอนนี้แล้วจะไปรู้ตอนไหน"
       
       อย่ามาอ้าง
       
       "อย่าอ้างว่าไม่รู้ การจ่ายเงินโฆษณาออนไลน์พวกนี้ จ่ายผ่านบัตรเครดิตทั้งนั้น คุณมีอำนาจไปตามได้ ธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีข้อมูล ถามคนลงโฆษณากับกูเกิลว่าจ่ายเงินไปเท่าไหร่ต่อเดือน แล้วคนไทยที่ได้เงินจากกูเกิล ที่ส่งเช็คมาที่บ้านนั่นเสียภาษีไหม ภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ควรมีข้อมูลพวกนี้ได้แล้ว"
       
       แหล่งข่าวระบุว่ารัฐบาลมีอำนาจในการสั่งการเพื่อให้การค้ายุติธรรมเกิดขึ้นในประเทศไทย และไม่ใช่การออกมาตรการทางภาษีอย่างเดียว แต่ภาครัฐต้องทำให้การแข่งขันเสรีเกิดขึ้นจริง เพื่อให้คนไทยมีทางเลือก ให้ธุรกิจโฆษณาออนไลน์ไทยที่เหลือมีมาร์เก็ตแชร์มากขึ้น
       

       "อาจจะทำเป็นกฏหมาย หามาตรการว่าทำอย่างไรถึงจะเรียกว่าแฟร์ ไม่ใช่เล่นหักภาษีเงินเดือนประชาชนก่อนเลย อย่างน้อย ก็ต้องมีการแทรกให้สาธารณชนรู้ว่า ไอ้ที่ฟรี มันใช้ฟรีก็จริง แต่มันทำให้เค้ามีรายได้ เราต้องให้ความรู้คนไทย ว่าอย่าใช้เสิร์ชเอนจิ้นฟุ่มเฟือย เพราะเมื่อใช้ฟุ่มเฟือยกูเกิลก็จะรู้ข้อมูลคนไทยหมด ตอนนี้อาจจะมีข้อมูลมากกว่าหน่วยงานสำรวจในประเทศไทยด้วยซ้ำ ซึ่งหากกูเกิลวิเคราะห์พฤติกรรมคนไทยได้ จะน่าเป็นห่วงมากกว่านี้"
       
       แหล่งข่าวให้ความเห็นว่า การผลิต "เสิร์ชเอนจิ้นแห่งชาติ" ยังมีความคุ้มค่าน่าทำมากกว่าการทำโอเอสแห่งชาติ
       
       "เสิร์ชเอนจิ้นแห่งชาติเชื่อว่าคุ้มถ้าทำจริง ถามว่าถ้าทำออกมาแล้วไม่มีใครใช้ แล้วคุณจะปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆเหรอ นักวิจัยเลิกคิดได้แล้ว ต้นแบบระบบล้ำสมัยแต่ไม่มีทางเกิดเป็นโปรดักต์ ถ้าจะทำเสิร์ชเอนจิ้นต้องตั้งเป็นมูลนิธิ รัฐเป็นผู้ลงทุนให้ ขีดเส้นเลยว่า 5 ปีต้องอยู่ได้ ห้ามของบตลอดปีตลอดชาติ มองว่าถ้ารัฐสนับสนุนจริงจังไม่ใช่แค่พูด รวบรวมบุคลากรที่เชี่ยวชาญเสิร์ชเอนจิ้นมารวมกันก็ทำได้ ตรงนี้ต้องรีบ ต้องหาทางแก้ ข้อมูลของเราเองแท้ๆกลับเอาไปให้ต่างชาติ"

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
อวยพร ตันละมัย หุ้นส่วนด้านภาษีอากร (Tax Partner) กลุ่มบริษัทดีลอยท์ ทู้ช โธมัทสุ ไชยยศ
สรรพากรปัดไม่ยอมตอบ
       
       ผู้จัดการไซเบอร์ได้สอบถามไปยังโฆษกกรมสรรพากร ถึงนโยบายการเก็บภาษีของบริษัทออนไลน์ต่างชาติที่ไม่มีสำนักงานในประเทศไทย ปรากฏว่าหน้าห้องของท่านโฆษกได้แต่ผัดผ่อน ไม่ยอมตอบคำถามโดยระบุว่ากำลังอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล กระทั่งเวลาผ่านไปหลายเดือนจึงให้คำตอบว่า ไม่สามารถรวบรวมข้อมูลเพื่อตอบคำถามได้
       
       ผู้จัดการไซเบอร์จึงสอบถามไปยังสมาคมบัตรเครดิต ตัวแทนสมาคมระบุว่าไม่สามารถให้ข้อมูลตัวเลขการจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตแก่กูเกิลของบริษัทเอกชนไทยได้ เนื่องจากฐานข้อมูลขั้นต้นไม่มีการจำแนกข้อมูลไว้
       
       นายอวยพร ตันละมัย หุ้นส่วนด้านภาษีอากร (Tax Partner) กลุ่มบริษัทดีลอยท์ ทู้ช โธมัทสุ ไชยยศ ผู้ให้คำปรึกษาด้านภาษีอากรสำหรับบริษัทไทยและบริษัทต่างประเทศ ให้ความเห็นเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการเก็บภาษีบริษัทออนไลน์ข้ามชาติว่า เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก โดยต่างประเทศไม่ได้ใช้วิธีเก็บภาษีแต่ใช้วิธีส่งเสริมการเติบโตของภาพรวม
       
       "ไม่ใช่กูเกิลเจ้าเดียว ธุรกิจออนไลน์ขยายตัวมาก สามารถทำธุรกิจข้ามประเทศได้แบบไร้พรมแดน ตรงนี้ในประเทศอื่นๆก็มีปัญหา ไม่ใช่เฉพาะกับประเทศไทย ใช้การส่งเมล แฟ็กซ์ และการโทรศัพท์โดยไม่มีการตั้งร้าน ทางออกคือสรรพากรต้องเข้าถึงระบบให้มากกว่านี้ ต้องดูว่ามีการขายยังไง จะได้ดูช่องทางการแก้กฏหมาย อาจจะร่วมมือกับแบงค์ชาติ เพื่อหามาตรการที่ไม่กระทบการเติบโต เชื่อว่าการเก็บภาษีเป็นเรื่องรอง เรื่องหลักคือทำอย่างไรให้การแข่งขันกับต่างประเทศไม่เสียเปรียบ เราควรต้องวางแผนกลยุทธ์ของประเทศ ให้มีการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆให้เราแข่งขันกับคนอื่นได้ จะได้ดึงรายได้เข้ามาในประเทศ"
       
       อวยพรอธิบายว่าหลายประเทศรวมถึงไทยจะมีข้อตกลงอนุสัญญาภาษีซ้อน หลักใหญ่ใจความของอนุสัญญาคือการหลีกเลี่ยงภาษีซ้ำซ้อนหากมีธุรกรรมใดๆเกิดขึ้น เช่น หากเก็บภาษีที่ต้นทางแล้วจะไม่มีการเก็บภาษีที่ปลายทางอีก อนุสัญญานี้ทำให้โอกาสการเก็บภาษีธุรกิจออนไลน์เป็นไปได้น้อยมาก
       
       "อย่างกูเกิล อย่าลืมว่าเค้าก็เสียภาษีเหมือนกันที่สหรัฐฯ อาจจะเสียมากกว่าหากจะต้องเสียที่ประเทศไทยก็ได้ การเก็บภาษีมีข้อดีเพียงส่วนเดียว ทำได้ก็ดีแต่อาจจะมีปัญหาตามมา กฏหมายเราตอนนี้ทำได้บางอย่างเท่านั้น ควรหาทางพัฒนาการค้าเราให้ดีจะดีกว่า อีกอย่างคือทิศทางการเก็บภาษีกำลังกลายเป็นเรื่องรองในตลาดโลก เพราะตอนนี้มีแต่นโยบายที่ทำให้การเก็บภาษีอยู่ในอัตราต่ำที่สุด เพื่อส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจภาพรวม"

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
นายณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ บริษัท ไอที เวิร์กส์ ( ซ้าย) และ พรทิพย์ กองชุน ผู้จัดการประจำประเทศไทย กูเกิล (ขวา) ประจำการที่ออฟฟิศกูเกิลในประเทศสิงคโปร์
ข้อมูลล่าสุดจากกูเกิลในขณะนี้คือ Google AdWords (โปรแกรมการบริหารจัดการโฆษณาออนไลน์ผ่าน Google Search Mass Media และ Niche Media สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กหรือ SME เริ่มให้บริการในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2548) มีลูกค้าเป็นผู้ประกอบการ SME ไทยจำนวน 858,291 ราย หรือราว 85% ของธุรกิจทั้งหมด ประเทศไทยถือเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ที่มียอดผู้โฆษณาผ่านทางกูเกิลด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 98.75% พันธมิตรร่วมเครือข่ายโฆษณา Google AdWords รายใหญ่ในประเทศไทย ได้แก่ Tarad.com, weloveshopping และ Netdesign เป็นต้น
       
       ต้องยอมรับว่า Google AdWords เป็นที่นิยมของบริษัทมากมายเพราะความมีศักยภาพในการโฆษณาสูงมาก นายณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ บริษัท ไอที เวิร์กส์ ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ด้านระบบตรวจสอบลายนิ้วมือและใบหน้าที่เป็นลูกค้า Google AdWords เคยให้สัมภาษณ์ว่าทำโฆษณากับ Google AdWords มานาน 5 ปี และพบว่าหากเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมและสร้างแคมเปญที่สร้างสรรค์ ทุกๆ 10 บาทที่ลงเงินผ่าน Google AdWords จะทำให้บริษัทได้รับรายได้กลับมาตั้งแต่ 100-150 บาท
       
       "แต่ละปีเราจะใช้งบโฆษณาโดยรวมเป็นตัวเลข 7 หลัก มีงบไม่พอที่จะลงสื่อทีวี แต่ลงพรินต์แอดเพื่อเน้นเรื่องของแบรนดิ้ง งบส่วนใหญ่จึงเป็น Google AdWords ซึ่งขณะนี้อยู่ในสัดส่วนประมาณ 60-70% เพราะช่วยลดต้นทุนลงกว่า 50% เมื่อเทียบกับสื่อสิ่งพิมพ์"
       
       ถึงบรรทัดนี้คงจะบอกได้คำเดียวว่า เมืองไทยเราเหลือทางเลือกอยู่ 2 ทาง หนึ่งคือปล่อยให้รูปการณ์เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ สองคือการเริ่มลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อให้อุตสาหกรรมไอทีไทยลืมตาอ้าปากได้ในอนาคต.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
Google AdWords เจาะเอสเอ็มอีไทย เพิ่มยอดขาย-ต้นทุนต่ำ
ไอทีเวิร์กส์ใช้ศักยภาพกูเกิลแอดเวิร์ดส์ สร้างธุรกิจเอสเอ็มอีมีรายได้100ล.ต่อปี
กูเกิลทดสอบระบบโฆษณาใหม่ อิงตามความสนใจไม่ใช่คีย์เวิร์ด
http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9520000072609


Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out!

ผู้ติดตาม

คลังบทความของบล็อก

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
http://facthai.wordpress.com/ ต้องรู้เท่าทันในการรับรู้ข่าวสารจากทุกแหล่งข่าว/ FACT - Freedom Against Censorship Thailand กลุ่มเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์แห่งประเทศไทย http://facthai.wordpress.com/ http://twitter.com/jiew