"เชิญชวนทุกท่านร่วมสร้างสรรค์กฎหมายเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน"

อินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน
Blognone
Share |

Suthichai Online - ข่าวประจำวัน

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ติงสื่อไม่ควรเล่นกับคำว่าเอดส์สายพันธุ์ใหม่ ยันป้องได้ใช้ถุงยางอนามัยและไม่ใช้เข็มร่วมกับผู้อื่น

ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ติงสื่อไม่ควรเล่นกับคำว่าเอดส์สายพันธุ์ใหม่ ยันป้องได้ใช้ถุงยางอนามัยและไม่ใช้เข็มร่วมกับผู้อื่น

นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวเผยแพร่ตามสื่อต่างๆ ว่าขณะที่ประเทศไทยพบเอดส์สายพันธุ์ใหม่ว่า เท่าที่ทราบข้อมูลไม่ใช่สายพันธ์ใหม่ แต่สายพันธุ์ที่มีเผยแพร่อยู่แล้วในประเทศไทยและแถบเอเชียทั้งนี้ พร้อมแสดงความวิตกที่สื่อมวลชนใช้คำว่า เอชไอวีสายพันธุ์ใหม่ในการนำเสนอข่าว ระบุสื่อไม่ควรจะเล่นกับคำ 

 “ประเด็นแรก็คือไม่ควรเรียกว่าเอดส์สายพันธุ์ใหม่ เพราะเรารู้กันอยู่แล้วว่าเชื้อเอชไอวีที่ระบาดในไทยเป็นสายพันธุ์เอเชียและแอฟริกา อยู่แล้ว และในแต่ละประเทศที่มีผู้ติดเชื้อเอชไอวี ก็มีเชื้อมากกว่า 1 สายพันธุ์อยู่แล้ว และในปัจจุบันซึ่งผู้คนมีการเดินทางติดต่อกันอยู่แล้วในโลกนี้ และการมีเพศสัมพันธุ์ก็เป็นเรื่องทั่วไปที่เกิดขึ้น ส่วนประเด็นว่าเชื้อโรคได้พัฒนาสายพันธุ์หรือเปล่านั้นเป็นเรื่องที่ไม่ควรพูดโดยปราศจากพื้นฐานการวิจัย ทั้งนี้ ในประเทไทยนั้นสถิติที่พบคือเชื้อโรคจะใช้เวลาในการแสดงอาการ 5-7 ปีดังนั้น การจะระบุว่ามีเชื้อสายพันธุ์ใหม่ที่พัฒนาเร็วขึ้น รุนแรงขึ้นและแพร่เชื้อง่ายขึ้น จึงเป็นเรื่องไม่ควรพูดโดยปราศจากการวิจัยรองรับ” ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์กล่าว

สำหรับคำถามที่ว่า การได้รับยาต้านไวรัสเอชไอวีจะเป็นเหตุให้เกิดการดื้อยาและเกิดการพัฒนาสายพันธุ์ของเอชไอวีหรือไม่นั้น นายนิมิตร์กล่าวว่าเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกัน เพราะการดื้อยาเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่แล้วในผู้ได้รับยาเอชไอวี พร้อมกล่าวต่อไปว่า ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ใดก็ตาม แต่สิ่งที่ต้องทำต่อไปก็คือการส่งเสริมและการป้องกัน ทุกวันนี้เราไม่สามารถมองออกว่าใครมีเชื้อเอชไอวีหรือไม่ และไม่รู้ว่าเขามีเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ไหนอยู่ในตัว แต่สิ่งที่สำคัญก็คือการป้องกันตัวเองโดยการใช้ถุงยางอนามัยและการไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน 

นายนิมิตร์กล่าวถึงการเสนอข่าวของสื่อมวลชน ไม่ควรสร้างความตระหนก ควรให้ข้อเท็จจริงและช่วยให้ประชาชนเข้าใจและป้องกันตัวเอง การติดเชื้อเอไอวีมันไม่ใช่การติดกันง่ายเหมือนเชื้อไวรัสอื่นๆ ที่สามารถติดต่อทางการหายใจ แต่เชื้อเอชไอวีติดต่อเฉพาะช่องทาง คือการมีเพศสัมพันธ์และการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น ดังนั้นสิ่งที่ทำได้สำหรับประชาชนทั่วไป ก็ควรเริ่มต้นที่การป้องกันตัวเองและไม่ควรคาดหวังว่าคู่นอนจะเป็นผู้ป้องกันให้กับเรา

ก่อนหน้านี้  นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงการพบเชื้อเอดส์สายพันธุ์ลูกผสมไทย-แอฟริกา ว่า ไม่ใช่สายพันธุ์ใหม่ เนื่องจาก ทั่วโลกมีเชื้อเอชไอวีเอดส์ มากกว่า 20 ชนิด การตรวจพบเชื้อในหญิงครรภ์ เป็นการสุ่มตรวจของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ที่เจาะเลือดหญิงตั้งครรภ์ในคลินิกนิรนาม จึงไม่สามารถระบุได้ว่าหญิงดังกล่าวมีประวัติ และสาเหตุการติดเชื้อมาจากพื้นที่ใด ทั้งนี้ เชื้อดังกล่าวมีความเข้มข้นกว่าเชื้อเอดส์ของไทย โดยในน้ำอสุจิ 1 ซีซี หากเป็นเชื้อเอดส์ของไทยสายพันธุ์เออี หรือ บี จะมีปริมาณเชื้อเพียง 10 ตัว แต่เชื้อของแอฟริกา จะมีตัวเชื้อเอดส์ ประมาณ 15 ตัว สำหรับการรักษาและป้องกันก็ไม่มีความแตกต่างกับเชื้อไวรัสเอดส์ของไทย สามารถใช้ถุงยางอนามัยป้องกันเวลามีเพศสัมพันธ์ และสามารถรับประทานยาต้านได้ตามปกติ ส่วนอัตราเชื้อดื้อยาไม่แตกต่างกัน

นายแพทย์สมศักดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอดส์ของไทย ที่คาดว่าจะสำเร็จในเดือนกันยายนนี้ หากผลวิเคราะห์ว่าสามารถป้องกันได้จริง ไม่สามารถนำมาใช้กับเชื้อไวรัส เอดส์ลูกผสมนี้ได้ เนื่องจากเป็นคนละสายพันธุ์กัน

ด้าน ASTVผู้จัดการออนไลน์ รายงานเวลา 19:21 น. ระบุว่า ศ.ดร.พญ.รวงผึ้ง สุทเธนทร์ หัวหน้าภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาเชื้อเอชไอวีที่ระบาดในไทยมีเพียง 2 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์เอ-อี (A/E) และสายพันธุ์บี (B) โดยสายพันธุ์เอ-อีจะพบสูงถึงร้อยละ 90 ขึ้นไป ทุกปีจะมีโครงการวิจัยเพื่อตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของสายพันธุ์เอชไอวี โดยนำเลือดของผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่เป็นคนไทยมาถอดรหัสตรวจหาสายพันธุ์เอดส์ โดยในปีนี้มีการทำวิจัยต่อเนื่องตามปกติ ปรากฏว่าพบความผิดปกติจากตัวอย่างเลือด 2 ราย จากกลุ่มตัวอย่างที่ส่งมาทั้งหมด 44 ราย เนื่องจากถอดรหัสออกมาแล้วพบว่าเป็นสายพันธุ์เอชไอวีที่ต่างออกไปจากเดิม และอาจเป็นสายพันธุ์เอดส์ลูกผสมที่ไม่เคยเจอมาก่อนในโลกนี้ก็ได้ โดยรายแรกเป็นเชื้อเอชไอวีที่ผสมระหว่าง 3 สายพันธุ์ ได้แก่ เอ จี และดี เรียกว่า เอจี-ดี (AG/D) กับรายที่ 2 เป็นเชื้อเอชไอวีผสม 3 สายพันธุ์ ได้แก่ เอ อี และจี เรียกว่า เออี-จี (AE/G)

ศ.ดร.พญ.รวงผึ้ง กล่าวว่า ตัวอย่างทั้ง 2 รายมาจากหญิงฝากครรภ์ที่โรงพยาบาล เป็นเชื้อเอชไอวีลูกผสม 3 สายพันธุ์ที่ไม่เคยมีรายงานการพบมาก่อน สายพันธุ์จีกับดีส่วนใหญ่จะพบในทวีปแอฟริกา โดยเฉพาะไนจีเรีย ส่วนของไทยจะเป็นเออี ตอนนี้สแกนยีนออกมาแล้ว 500 เบส จากทั้งหมด 1,700 เบส เมื่อศึกษาระดับโมเลกุลครบทั้งหมดแล้ว จึงจะทราบรายละเอียดว่าเป็นเชื้อที่แพร่มาจากพื้นที่ใดของโลก ขณะนี้ตั้งสมมติฐานว่า หญิงทั้ง 2 คนได้รับเชื้อมาจากชาวแอฟริกัน ไม่มีใครรู้เลยว่าสายพันธุ์จีกับดีเข้าไทยมานานหรือยัง ที่น่าเป็นห่วงคือ สายพันธุ์เอชไอวีจากแอฟริกาจะมีความเข้มข้นของเชื้อไวรัสเอดส์ในสารคัดหลั่งมากกว่า ทำให้ผู้สัมผัสติดเชื้อได้ง่ายและแพร่ระบาดเร็วกว่าสายพันธุ์จากทวีปอื่น

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ติดตาม

คลังบทความของบล็อก

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
http://facthai.wordpress.com/ ต้องรู้เท่าทันในการรับรู้ข่าวสารจากทุกแหล่งข่าว/ FACT - Freedom Against Censorship Thailand กลุ่มเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์แห่งประเทศไทย http://facthai.wordpress.com/ http://twitter.com/jiew