"เชิญชวนทุกท่านร่วมสร้างสรรค์กฎหมายเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน"

อินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน
Blognone
Share |

Suthichai Online - ข่าวประจำวัน

วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

'สหายกาล' อดีตสมาชิก พคท. เขตงานอีสานใต้ เสียชีวิตแล้ว

'สหายกาล' อดีตสมาชิก พคท. เขตงานอีสานใต้ เสียชีวิตแล้ว

http://www.prachatai.com/journal/2010/02/27902

เมื่อ เช้าวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 เวลาประมาณ 9.45 น. ลุงกาล หรือ นายพรม  บูรณชน ได้เสียชีวิตอย่างสงบ ศิริอายุได้ 83 ปี โดยได้ตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่หมู่บ้านแก่งศรีโคตร ต.โนนก่อ อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี

 
 
 
ประวัติลุงกาลโดยย่อ
 
 
 
 
พรม บูรณชน (สหายกาล)
วันวานแจ่มกระจ่างอยู่กลางใจ
โดย โกเมศ มาสขาว
 
ในค่ำคืนที่ลมพายุหอบฝนห่าใหญ่มาจากฝั่งประเทศลาว ลุงพรมยังคงบรรจงจิบน้ำชาจากจอกกระเบื้องเคลือบด้วยท่าทีที่สงบเยือกเย็น และบอกเล่าเรื่องราวที่ผ่านพ้นมาในชีวิตของท่านผ่านน้ำเสียงที่แหบพร่า แข่งกับเสียงสายฝนที่ตกลงมากระทบหลังคาสังกะสีดังครืนโครม…ไม่มีทีท่าว่าจะ ยุติลง
           
ผมพิจารณาดูใบหน้าชราและดวงตาขุ่นมัวคู่นั้น ภาพลักษณ์ภายนอกของลุงพรมไม่ต่างไปจากผู้เฒ่าผู้กรำชีวิตที่ผมเคยพบเห็นทั่ว ไป…คนในวัยเดียวกันหลายคนบ้างก็สานตะกร้ากระบุง นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่กับบ้านให้ลูกหลานเลี้ยงดู หรือไม่ก็ล้มหมอนนอนเสื่อป่วยกระเสาะกระแสะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ …ทว่าลุงพรมที่ผมรู้จักนั้น เป็นชายชราร่างเล็กวัย 80 ปีที่ผมเปลี่ยนจากสีดอกเลาเป็นขาวโพลน คล่องแคล่วและไม่ยอมอยู่นิ่ง วันทั้งวันผู้เฒ่ายังคงกรำงานหนัก ทั้งขุดดินทำไร่ ทั้งปีนต้นมะขามที่ปลูกไว้หลายสิบไร่เพื่อเก็บฝักขาย ด้วยความที่เป็นคนมีอัธยาศัยดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และชอบช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ ทำให้เป็นที่รักใคร่ของชาวบ้านโดยทั่วไป นั่นเป็นเพียงภาพปัจจุบันของชายชรา – หัวหน้าครอบครัวที่มีเพียงหลานสาวอ่อนวัยและภรรยาวัยใกล้เคียงกัน สมาชิกคนหนึ่งของหมู่บ้านแก่งศรีโคตร หมู่บ้านชายแดนในอำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี ที่ยังคงเลี้ยงชีพด้วยการทำไร่มะขามหวาน และใช้ชีวิตเฉกเช่นชาวบ้านโดยทั่วไป
           
สิ่งที่น่าสนใจในชีวิตของท่านไม่ใช่มีอยู่เพียงเท่านี้ หากแต่วันวัยที่ผ่านพ้นมานั้นเป็นดั่งเบ้าหลอมที่ยิ่งใหญ่และมีคุณค่าต่อ สังคมและส่วนรวมที่ท่านได้ปฏิบัติเรื่อยมานับจากอดีตจวบปัจจุบัน    …ลุงพรมคือผู้พลีกายใจให้กับขบวนการต่อสู้ภาคประชาชนมากว่า 70 ปี เสียสละถึงขนาดที่ต้องสูญเสียลูกชายให้แก่ขบวนการปฏิวัติไปถึง 3 คน
 
…ลุงพรม ผู้ปฏิบัติงานรุ่นแรกที่ร่วมบุกเบิกพื้นที่งานปฏิวัติร่วมกับพรรค คอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ในขณะที่ตัวเองมีอายุเพียง 15 ปีเท่านั้น ทั้งยังได้เข้าร่วมกับกองอาสาสมัครต่อต้านญี่ปุ่นของ พคท. ไปร่วมรบขับไล่ผู้รุกรานในปลายมหาสงครามเอเชียบูรพา ในปี 2488 ที่อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ร่วมกับแนวร่วมอื่น ๆ จนสามารถขับไล่ญี่ปุ่นออกจากประเทศไทยไปได้ เพียงเท่านี้ก็นับว่าน่าสนใจอยู่ไม่น้อย หากแต่เกร็ดชีวิตที่โลดโผนโจนทะยาน ที่ลุงพรมได้ประจญประจัญมานั้นยิ่งกว่านิยายกำลังภายในเรื่องยาว ทั้งดุเด็ดเผ็ดมันและยิ่งใหญ่ควรค่าแก่การศึกษาเพื่อเป็นแนวทางในการเรียน รู้ประวัติศาสตร์ภาคประชาชนอย่างแท้จริง
           
ในปี 2483 เด็กชายวัย 13 ปีจากจังหวัดปราจีนบุรีได้แอบหนีขึ้นรถไฟเข้ามาเสี่ยงโชคในกรุงเทพฯเพียง ลำพัง นับจากนั้นอีกสองปีให้หลังพรรคคอมมิวนิสต์ไทยถูกก่อตั้งขึ้นในวันที่ 1 ธันวาคม 2485 ( เพิ่มคำว่าแห่งประเทศไทย ในปี 2495 ) เขาได้เข้าไปเป็นผู้ปฏิบัติงานจัดตั้งแนวร่วมกรรมกรในเขตเมืองอย่างเต็มตัว ในช่วงเวลานั้นสงครามโลกครั้งที่2 ยังคงครุกรุ่นอยู่ทั่วไป เกิดความวุ่นวายโกลาหลทุกหย่อมย่าน ทั้งภัยผู้รุกรานและทุพภิกขภัยโถมซัดกระสานซ่านเซ็นไปทั่ว ดังนั้นพรรคจึงมีนโยบายหลักภายใต้คำขวัญ “ขับไล่จักรพรรดินิยมญี่ปุ่น ถอนตัวออกจากสงครามรุกราน ”   พรม บูรณชน ได้อาสาสมัครเข้าเป็นกองอาสาต่อต้านญี่ปุ่นรุ่นแรก มีกองกำลังเพียง 250 คนเท่านั้น ไปร่วมรบขับไล่ญี่ปุ่นที่จังหวัดกาญจนบุรีจนญี่ปุ่นพ่ายแพ้และถอนตัวออกไปใน ปี 2488
           
ต่อจากนั้นลุงพรมก็ได้เดินทางไปทั่วประเทศ เพื่อบุกเบิกขยายพื้นที่เขตงานของพรรค โดยการแฝงตัวไปเป็นช่างทำรองเท้า ปลุกระดมและให้การศึกษามวลชนจนสามารถควบคุมเป็นพื้นที่เคลื่อนไหวปลอดภัย พรรคจึงจะส่งหน่วยงานอื่นเข้าไปรับช่วงแทน ส่วนลุงพรมก็จะออกเดินทางไปบุกเบิกพื้นที่อื่นต่อไปเรื่อย ๆ เงินเก็บมีเท่าไหร่ก็จะส่งเข้าสนับสนุนพรรคจนแทบจะไม่เหลือไว้ใช้ส่วนตัวเลย
           
ในประวัติศาสตร์ยุคเริ่มต้นการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์ไทย แทบทุกที่และทุกครั้ง ลุงพรม บูรณชน จะมีส่วนร่วมในการบุกเบิกพื้นที่ตลอดจนจัดตั้งมวลชน ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านคูซอด จังหวัดศรีสะเกษ ภูพานหรือเขตงานอีสานใต้ลุงพรมก็ไม่เคยรู้สึกเหนื่อยหน่าย
           
กระทั่งในปลายปี 2496 สถานการณ์ทางการเมืองพลิกผัน พรรคจึงมีมติให้ผู้ปฏิบัติงานในแต่ละเขตงานอำพรางตนเองโดยการแต่งงานสร้าง ครอบครัวกับคนในพื้นที่เพื่อไม่ให้เสียลับ ลุงพรมจึงได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี กระนั้นอยู่กินกันได้ไม่ถึง 2 เดือนก็เกิดการเสียลับ ต้องหลบหนีออกจากหมู่บ้านในค่อนดึก ปล่อยให้ภรรยาอยู่บ้านตามลำพังกว่า 1 ปีเต็มจึงได้ส่งคนให้ไปรับเข้ามาอยู่กรุงเทพฯด้วย ชีวิตครอบครัวดำเนินไปอย่างยากลำบากเพราะลุงพรมต้องออกทำงานให้กับพรรคอยู่ ตลอดเวลา เมื่อเกิดการเสียลับก็จะย้ายไปทำงานที่อื่นโดยไม่สามารถพาภรรยาไปอยู่ด้วย ได้ เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้งหลายหน จนกระทั่งครั้งสุดท้ายพรรคได้ส่งลุงพรมไปเรียนต่อโรงเรียนการเมืองการทหารใน ประเทศจีน ในขณะที่ทั้งสองมีลูกชายด้วยกัน 4 คน
           
ภรรยาจึงได้พาลูกน้อยทั้ง 4 ของนางกลับไปอยู่บ้านตามเดิม …ทุกข์ซ้ำกรรมซัด เมื่อการก่อสร้างเขื่อนสิรินธรแล้วเสร็จลง พื้นที่ที่เคยเป็นหมู่บ้านไร่นาทั้งหมดถูกน้ำท่วมจมหายอยู่ใต้ท้องอ่าง จำเป็นต้องอพยพโยกย้ายไปอาศัยอยู่กับคนในหมู่บ้านอื่น นางต้องหาผักหาปลาหาบเข้าไปแลกข้าวถึงฝั่งประเทศลาวมาจุนเจือครอบครัว หาเลี้ยงลูกน้อยอยู่อย่างอัตคัดขัดสน กระทั่งลุงพรมกลับมาจากประเทศจีน จึงได้พาสมัครพรรคพวกออกตามหาภรรยาจนพบ และพากลับเข้าไปร่วมทำงานปฏิวัติในเขตป่าเขาด้วย
           
นี่คือเกร็ดชีวิตโดยสังเขปของคน ๆ หนึ่ง ที่ชั่วชีวิตอุทิศพลีให้กับการทำงานโดยไม่เคยนึกถึงประโยชสุขส่วนตัวเลย ลูกชายทั้ง 4 ของลุงพรมถูกส่งไปเรียนในโรงเรียนการเมืองการทหารที่ อต.4 (อีสานใต้) เมื่อจบออกมาก็แยกย้ายไปเป็นทหารปฏิวัติรับใช้พรรคและประชาชนตามแนวทางที่ คิดว่าถูกต้อง โดยที่ลูกชาย 3 ใน 4 คนนั้นไม่มีโอกาสได้กลับมาพบหน้าพ่อแม่อีกเลย ทั้งหมดเสียสละชีวิตอย่างสมเกียรติในสมรภูมิรบ พรรคจึงได้ส่งลูกชายคนเล็กมาอยู่ดูแลแม่ในทับผู้เฒ่าเป็นการทดแทน
           
นับตั้งแต่ปี 2521-2525 นั้น สถานการถึงขั้นวิกฤติสูงสุด เกิดสงครามระหว่างพรรคพี่พรรคน้องเวียดนาม-กัมพูชา เป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้งในระดับสากลโดยทั่วไป เป็นผลให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยไม่สามารถดำรงเคลื่อนไหวอยู่ในป่าได้อีกต่อไป
           
ในปี 2525 ลุงพรมจึงได้พาภรรยาออกมาจากป่า มาทำการเคลื่อนไหวอยู่ในเขตเมือง และถูกจับกุมได้ในปี 2527 ถูกคุมขังอยู่ในศูนย์การุณยเทพ 1 ปีเต็ม จึงถูกปล่อยตัวออกมาในปี 2528
           
ทันทีที่ได้รับอิสระภาพ ลุงพรม บูรณชน ได้พาภรรยากลับมาที่จังหวัดอุบลราชธานีทันที มาซื้อที่ติดลำห้วยทรายในบริเวณหมู่บ้านแก่งศรีโคตร โดยได้รับการช่วยเหลือเรื่องการเงินจากน้องสาว จากนั้นก็เริ่มลงมือขุดถางพื้นที่รกร้างหามรุ่งหามค่ำ ปลูกมะละกอ มะม่วง และมะขามหวาน ดำรงชีวิตด้วยความมุ่งมั่นอดทนมาจนถึงปัจจุบัน
 
แม้ว่าวันเวลาของการปฏิวัติประชาชาติประชาชนจะล่วงเลยมาหลายสิบปีแล้ว ก็ตาม กระนั้นลุงพรมยังคงใส่ใจการเมืองและความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชนเสมอมา ปัจจุบันเข้าร่วมกับสมัชชาคนจน ทำการต่อสู้เรียกร้องในแนวทางสันติวิธี กรณีเขื่อนปากมูลและเขื่อนสิรินธรเรื่อยมา
 
อดีตกาลได้ล่วงเลยผ่านไปแล้ว ทว่าภาพความทรงจำ ทั้งที่งดงามและเจ็บปวดก็ยังคงว่ายเวียนอยู่ในความทรงจำของ พรม บูรณชนและครอบครัวอยู่เสมอ …และสหายกาลผู้นั้น…ชายหนุ่มผู้หยัดยืนถือปืนบรรเลงเพลงรบบนยอดภูในวันวาน ผู้ที่ยึดมั่นในแนวทางการรับใช้ประชาชนด้วยชีวิตจิตใจที่เสียสละกล้าหาญ พร้อมยอมพลีทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสร้างสะพานให้ผู้คนได้ก้าวข้ามไปสู่สังคม อุดมธรรม…ในวันนี้เขาคือชายชราวัย 80 ขวบปี (2550) ที่เส้นผมขาวโพลนไปทั้งศีรษะ ผู้ที่ยังคงตรากตรำทำงานในไร่ตั้งแต่เช้ายันค่ำ และเฝ้ามองความเป็นไปของสังคมด้วยความมุ่งหวังที่จะได้เห็นความเปลี่ยนแปลง เกิดขึ้นสักครั้งในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
 
 
 
กำหนดการ
สวดพระอภิธรรมตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ – 3 มีนาคม 2553 เวลา 18.00 น.
เผาศพในวันที่ 4 มีนาคม 2553 เวลา 16.00 น. ที่วัดแก่งศรีโคตร
 
เส้นทางมายังสถานที่จัดงานบำเพ็ญกุศล
ออกเดินทางจากจังหวัดอุบลราชธานี ตามทางหลวงหมายเลข 217 มายังด่านชายแดนช่องเม็ก อ.สิรินธร ระยะทางประมาณ 90 กิโลเมตร เลี้ยวขวา ไปตามทางหลวงหมายเลข 2396 อีกประมาณ 15 กิโลเมตร ก็จะถึงหมู่บ้านแก่งศรีโคตร อันเป็นสถานที่ตั้งศพ
 
ติดต่อประสานงาน
นายสมบัติ บูรณชน ( สหายนิดร ลูกชายของลุงกาล ) 087 – 3332065
นายประพนธ์ สิงห์แก้ว ( เอก ) 084 – 6061640

http://www.prachatai.com/journal/2010/02/27902


--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687

ทุ่มพีอาร์เต็มสูบ ! รัฐบาลอภิสิทธิ์ " ติด 1 ใน 10 อันดับ ใช้งบประมาณ โฆษณาสูงสุด รองจากดีแทค


วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 เวลา 16:22:15 น.  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ทุ่มพีอาร์เต็มสูบ ! รัฐบาลอภิสิทธิ์ " ติด 1 ใน 10 อันดับ ใช้งบประมาณ โฆษณาสูงสุด รองจากดีแทค



บริษัท เดอะ นีลเส็น คอมปะนี รายงานยอดการซื้อสื่อโฆษณาในเดือนมกราคม 2553 รวมทั้งสิ้น 6,872 ล้านบาท

เทียบเดือนมกราคม 2552 ซึ่งอยู่ที่ 6,501 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 5.71

โดยแบ่งเป็นสื่อโทรทัศน์ 4,303 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 10.53 สื่อวิทยุ 409 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 3.02 สื่อโรงภาพยนตร์ 369 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 20.20 สื่ออินเตอร์เน็ต 26 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 73.33

สื่อนิตยสาร 239 ล้านบาท ติดลบร้อยละ 34.88 สื่อกลางแจ้ง 308 ล้านบาท ติดลบร้อยละ 10.09 สื่อในระบบขนส่งมวลชน 161 ล้านบาท ติดลบร้อยละ 5.29 สื่ออินสโตร์ 60 ล้านบาท ติดลบร้อยละ 3.23

10
อันดับบริษัทและหน่วยงานที่ใช้งบประมาณโฆษณาสูงสุดเดือนมกราคม 2553

อันดับ 1 ยูนิลีเวอร์ (ไทย) โฮลดิ้ง 388 ล้านบาท พีแอนด์จี 211 ล้านบาท ไบเออร์สด๊อฟ 165 ล้านบาท โอสถสภา 157 ล้านบาท ลอรีอัล 148 ล้านบาท อายิโนะโมะโต๊ะ 107 ล้านบาท คอลเกต-ปาล์มโอลีฟ 106 ล้านบาท เนสท์เล่ 105 ล้านบาท ดีแทค 95 ล้านบาท

และสำนักนายกรัฐมนตรี 88 ล้านบาท



ในความเห็นของ นายวิทวัส ชัยปาณี นายกสมาคมโฆษณาธุรกิจแห่งประเทศไทย

แนวโน้มของอุตสาหกรรมโฆษณาที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีส่งผลให้ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาภาพรวมมีอัตราเติบโตสูง

ถ้าแนวโน้มยังเป็นเช่นนี้ต่อไปเชื่อว่าปีนี้น่าจะเติบโตได้ร้อยละ 5 จากปีก่อน ซึ่งอยู่ร้อยละ 2

หน่วยงานรัฐยังเป็นกลุ่มที่ช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรมโฆษณาเติบโต เพราะการที่ภาครัฐออกมาใช้งบประมาณผ่านสื่อเพิ่มขึ้นส่งผลให้ภาพรวมกลับมาเติบโตได้ร้อยละ 2 หลังจากติดลบจากความวุ่นวายทางการเมืองเมื่อเดือนเมษายน 2552

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1267349257&grpid=03&catid=00



--
โปรดอ่าน blog
www.pridiinstitute.com
www.nakkhaothai.com
www.pcpthai.org
http://wdpress.blog.co.uk
http://rsm2009-rsm2009.blogspot.com
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
www.youtube.com/user/naiissarachon#p/a/u/0/34ZvscsnCbA

ศัพท์เฉพาะทางข่าวเทคโนโลยีสารสนเทศ รวบรวมโดย อ.สุรสิทธิ์ วิทยารัฐ

ศัพท์เฉพาะทางข่าวเทคโนโลยีสารสนเทศ
รวบรวมโดย อ.สุรสิทธิ์  วิทยารัฐ
http://www.itpc.or.th/?page_id=32

--
โปรดอ่าน blog
www.pridiinstitute.com
www.nakkhaothai.com
www.pcpthai.org
http://wdpress.blog.co.uk
http://rsm2009-rsm2009.blogspot.com
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
www.youtube.com/user/naiissarachon#p/a/u/0/34ZvscsnCbA

เจ้าฟ้าเหม็น รัชทายาทพระเจ้าตาก

ด้วยเกิดมา...มีกรรม...ตามกลั่นแกล้ง
ให้แสลง...ฤทัย...เสียจริงหนา
คำว่าเหม็น...เด่นนัก...ไม่ศักดา
จึงถูกฆ่า...ง่ายนัก...โอ้ตัวเรา

จะกี่ชื่อ...กี่นาม...ก็ล้มเหลว
ดุจเพลิงเปลว...ท่านสุม...ท่านเร่งเร้า
ให้ชีพดับ...แดดิ้น...เพราะหูเบา
ต้องถูกเผา...เพราะกา...คาบข่าวเอย
http://www.kaweeclub.com/b6/t2753/

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687

วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

2012 วันสิ้นโลก

วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 7031 ข่าวสดรายวัน


2012 วันสิ้นโลก


คอลัมน์ เจาะจอหนังแผ่น




หลัง ทำให้คนดูอ้าปากค้างมาแล้วทั้ง อินดีเพนเด้นซ์ เดย์, ก็อดซิลลา และ เดอะ เดย์ อาฟเตอร์ ทูมอร์โรว์ คราวนี้ ผู้กำกับฯ โรแลนด์ เอ็มเมอริช ทำให้อึ้ง ทึ่ง และตะลึง ยิ่งกว่า กับผลงานล่าสุด "2012 วันสิ้นโลก" ที่ใช้ทุนสร้างกว่า 200 ล้านดอลลาร์

ซึ่งล่าสุดหนังได้ถูกนำมาทำลงแผ่นในรูปแบบวีซีดีและดีวีดี โดยบริษัท เอ็มวีดี จำกัด เพื่อให้คนดูได้รับความบันเทิงกันแล้วที่บ้าน

หนังเริ่มเรื่องด้วยการบอกให้รู้ว่า นักธรณีวิทยาและนักวิทยาศาสตร์ทราบแล้วว่าวันสิ้นโลกใกล้เข้ามาทุกที ซึ่งเรื่องทั้งหมดถูกเก็บเป็นความลับ จะรู้เฉพาะแค่ผู้นำประเทศใหญ่ๆ โดยประชาชนไม่มีโอกาสรับรู้ถึงวาระสุดท้ายของโลก และมีคนบางกลุ่มพยายามแสวงหาผลประโยชน์จากตรงนี้

ที่สำคัญเรือซึ่งถูกสร้างขึ้นมาแบบลับๆ สำหรับรักษาสิ่งมีชีวิตในโลก กลับมีที่นั่งจำนวนจำกัด

แจ็คสัน เคอร์ติส (จอห์น คูแซค) และลูกอีกสองคนที่อยู่ระหว่างการเดินทางไปเยลโล่สโตน ได้รู้ความลับวันสิ้นโลกนี้โดยบังเอิญจากคนสติฟั่นเฟือน เขาต้องปกป้องครอบครัวจากแผ่นดินไหว ลาวาระเบิด สึนามิ และภัยธรรมชาติอื่นๆ

กว่าครึ่งหนึ่งของหนังเรื่องนี้เป็นงานวิชวล เอฟเฟ็กต์ และซีจี ที่ต้องระดมทีมเอฟเฟ็กต์มือดีมาช่วยกันสร้างสรรค์ ซึ่งต้องยอมรับว่าฝีมือภาพที่ออกมานั้นเนียนสมจริงจนขนลุก

ไล่ไปตั้งแต่ ฉากแผ่นดินไหวถล่มเมืองแอล.เอ.จมสู่มหาสมุทรแปซิฟิค ฉากตึกรามบ้านช่องในนิวยอร์คล้มระเนระนาด ฉากลูกไฟยักษ์จากภูเขาไฟระเบิดถล่มเยลโล่สโตน พาร์ค ฉากคลื่นยักษ์พัดเรือบรรทุกเครื่องบินลำมหึมามาถล่มทำเนียบขาว ไปจนถึงฉากการพังพินาศของวิหารเซนต์ปีเตอร์ในวาติกัน และรูปปั้นพระเยซูในกรุง ริโอ เดอ จาเนโร

ต้องยอมรับว่า หนังมีจุดเด่นอยู่ที่ซีจีและสเปเชี่ยลเอฟเฟ็กต์ต่างๆ แต่ขณะเดียวกันก็มีเนื้อหาที่เข้มข้นหนักหน่วง ด้วยฝีมือการแสดงของ จอห์น คูแซค, อมานดา พีท, แดนนี่ กลอเวอร์, ทันดี นิวตัน, โอลิเวอร์ แพลท, ชิเวเทล อีจีโอฟอร์, วู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน ฯลฯ

ดูหนังเรื่องนี้แล้ว ทำให้อยากกลับไปทำอะไรในสิ่งที่ไม่ได้ทำอีกเยอะ โดยเฉพาะความดี


หน้า 20
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURObGJuUXdOREk0TURJMU13PT0=&sectionid=TURNeE1nPT0=&day=TWpBeE1DMHdNaTB5T0E9PQ==

--
โปรดอ่าน blog
www.pridiinstitute.com
www.nakkhaothai.com
www.pcpthai.org
http://wdpress.blog.co.uk
http://rsm2009-rsm2009.blogspot.com
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
www.youtube.com/user/naiissarachon#p/a/u/0/34ZvscsnCbA

: ยำใหญ่


 


 

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

4 อรหันต์ กทช.ปักธงสางปม "3G-วิทยุชุมชน-ทีวีดาวเทียม"

วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4187  ประชาชาติธุรกิจ


4 อรหันต์ กทช.ปักธงสางปม "3G-วิทยุชุมชน-ทีวีดาวเทียม"




ภารกิจ สำคัญ ๆ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งกับการออกใบอนุญาตบริการโทรศัพท์มือถือ 3G ของอรหันต์ "กทช." ต้องสะดุดหยุดลง เพื่อรอ 4 กทช.ใหม่เข้ามาสานต่อ หลังกระบวนการสรรหาสำเร็จลุล่วงเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งในระหว่างก่อนเริ่มทำงานเป็นทางการ กลับมีข่าวลือข่าวปล่อยสารพัดเกี่ยวกับคุณสมบัติของว่าที่ กทช.ใหม่ ซึ่งโดนกันถ้วนหน้า

กระทั่งเมื่อวันที่ 22 ก.พ. 2553 ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ได้รับหนังสือแจ้งเรื่องการแต่งตั้งกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ จากสำนักนายกรัฐมนตรี

โดยประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีระบุว่า ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม แห่งชาติ จำนวน 7 ราย ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2547 ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 8 ต.ค. 2547 นั้น เนื่องจากมีกรรมการ ได้พ้นจากตำแหน่งโดยการ ลาออก 1 ราย และโดยวิธีจับสลากออกจากตำแหน่ง 3 ราย และในการประชุม วุฒิสภา ครั้งที่ 16 (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2552 ที่ประชุมได้พิจารณาลงมติเลือกกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ จำนวน 4 ราย และได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณา โปรดเกล้าฯแต่งตั้งต่อไปแล้ว ดังนี้

1.นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร

2.พันเอกนที ศุกลรัตน์

3.นายบัณฑูร สุภัควณิช

4.รองศาสตราจารย์พนา ทองมีอาคม

บัดนี้ ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ 4 รายดังกล่าวตามที่เสนอ ตั้งแต่วันที่ 18 ก.พ. 2553 เป็นต้นไป

เป็นอันว่า 4 กทช.ใหม่ไม่ใช่ "ว่าที่" อีกต่อไป และจะต้องเข้ามาทำงานร่วมกับอีก 3 กรรมการ กทช.เดิม ได้แก่ นายประสิทธิ์ ประพิณมงคลการ นายสุชาติ สุชาติเวชภูมิ และ นายสุธรรม อยู่ในธรรม

ก่อนหน้านี้ นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า มีหลายเรื่องที่ตั้งใจอยากเข้ามาทำ อาทิ การขยายบริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ให้ทั่วถึง ทั่วประเทศให้มากที่สุด และเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อลดช่องว่างระหว่างคนในเมืองกับคนชนบท ซึ่งเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สาย เช่น 3G ตอบโจทย์ในแง่ความรวดเร็วในการกระจายบริการ แต่ในเรื่องราคา คาดว่าในระยะแรกคงไม่ถูกนัก

"ภาระหน้าที่ในฐานะ กทช.มีอะไรให้ทำอีกเยอะมาก ๆ ซึ่ง กทช.ชุดเก่ากับชุดใหม่ก็คงต้องหารือกัน ขณะเดียวกัน เพื่อให้ภาพรวมด้านการสื่อสารของประเทศพัฒนาอย่างเป็นเอกภาพ และเดินหน้าได้อย่างรวดเร็ว ก็ควรต้องประสานการทำงาน ร่วมกับรัฐบาล เพราะรัฐบาลก็มีนโยบายที่จะเพิ่มโอกาสของประชาชนด้วยเทคโนโลยี อยู่แล้ว"

ด้าน พันเอกนที ศุกลรัตน์ 1 ในคณะกรรมการ กทช.ชุดใหม่ กล่าวถึงความตั้งใจในการทำงานในฐานะ กทช.ว่ามี 3 เรื่องด้วยกัน ได้แก่เรื่องวิทยุชุมชน, เคเบิลทีวี และการออกใบอนุญาต 3G ซึ่งกรณี 3G รวมถึงไวแม็กซ์ ซึ่งต้องเร่งดำเนินการ เพราะประเทศไทยจำเป็นต้องมีการพัฒนา และไม่สามารถปฏิเสธความเป็นไปของเทคโนโลยีได้ ถ้าจะมีข้อจำกัดในด้านใดบ้าง คณะกรรมการ กทช.ต้องปรึกษาหารือกัน

"เรื่องวิทยุชุมชนได้มีการออก หลักเกณฑ์ให้แจ้งความประสงค์เพื่อให้วิทยุชุมชนดำเนินการต่อไปได้ โดยรับเงื่อนไข 2-3 ข้อ เช่น ห้ามใช้วิทยุเพื่อประโยชน์ทางการเมือง หรือจาบจ้วงล้มล้างสถาบัน เป็นต้น ซึ่ง ทุกคนก็ยอมรับกติกา เหลือแต่กระบวนการบังคับใช้ ก.ม. ซึ่งผมเคยเป็นคณะอนุกรรมการทำเรื่องนี้ เข้าใจดีว่าปัญหา อยู่ตรงไหน เมื่อต้องเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ กทช.ก็จะผลักดัน เพราะวิทยุชุมชนมีตั้ง 6,600 สถานี ถ้าไม่ชัดเจนคงไม่ได้ ส่วนกรณีเคเบิลทีวี คาดว่าเรื่องคอนเซ็ปต์ ช่องรายการ และค่าใบอนุญาตคงเสร็จ เร็ว ๆ นี้ กรณีทีวีผมไม่เห็นด้วย ที่ กทช. ชุดที่แล้วบอกว่า ทีวีดาวเทียมไม่รวมอยู่ในประกาศเคเบิลทีวี"


หน้า 28
http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02com01250253&sectionid=0209&day=2010-02-25

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687

เปิด "ไพ่ไฟ" ในคดี 7.6 หมื่นล้าน "ทักษิณ" ทิ้ง "กุญแจ" ลงแม่น้ำ ปัดข้อเสนอนักรบ-กุนซือ-คนสนิท

วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4187  ประชาชาติธุรกิจ


เปิด "ไพ่ไฟ" ในคดี 7.6 หมื่นล้าน "ทักษิณ" ทิ้ง "กุญแจ" ลงแม่น้ำ ปัดข้อเสนอนักรบ-กุนซือ-คนสนิท





เมื่อคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ของ "ทักษิณ ชินวัตร" ถึงวันพิพากษา

ทุกวงการ-ทุกสถาบัน-ทุกองค์กร ทั้งภาคธุรกิจเอกชน ภาคประชาชน ตกอยู่ในภาวะ ไม่มั่นใจ-ไม่มั่นคง-ไม่มีเสถียรภาพ และตึงเครียด

เป็น สถานการณ์ "โกลาหลแห่งอำนาจ" ทั้งในองค์กรอิสระ-สถาบันตุลาการ รวมทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร ที่ต้องแสดงถึง "ท่าที" ต่อ "คดีประวัติศาสตร์"

แม้ "ผล" ของคดี จะไม่ได้อยู่เหนือการคาดเดา และไม่อาจเป็นผลบวกกับ "ทักษิณ" มากนัก

แต่ยุทธวิธีทุกกระบวนท่า-กระบวนการ ในการต่อสู้ของ "ทักษิณ" ในช่วงลมหายใจแห่งคดีสุดท้าย ยังสามารถแสดงพลานุภาพได้

ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของการต่อสู้ "ทักษิณ" เลือกใช้ยุทธิวิธี "ป่าล้อมเมือง"

หลังจากทยอย "โฟนอิน" เข้าพื้นที่ "เสื้อแดง" ทุกเวทีในต่างจังหวัด ส่งสัญญาณให้ทุกสาย-ไหลไปบรรจบกันที่กรุงเทพมหานคร

จากนั้นเป็นหน้าที่ของ "ขุนพล-ปัญญาชน" และ "คนในครอบครัว" ที่ต้องออกมาปรากฏตัวต่อสาธารณะ

ตัว ละครแบบ "นพดล ปัทมะ" อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ-ทนายความส่วนตัว จึงปรากฏตัวขึ้น พร้อมข้อเรียกร้อง -ร้องขอความเห็นใจ-ตอกย้ำเหตุผลแห่งความ "ร่ำรวยผิดปกติ"

"ได้พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยความรู้สึกที่ พ.ต.ท.ทักษิณได้สะท้อนมา ก็คือช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของครอบครัว รวมไปถึงคุณหญิงพจมาน อดีตภริยา และลูก ๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่รอฟังคำตัดสินในวันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ด้วยความหวัง"

"เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณย้ำมาโดยตลอดว่าร่ำรวยมาก่อนเป็นนักการเมืองทำมาหากินด้วยน้ำ พักน้ำแรง และมีหลักฐานชัดเจน ฉะนั้น ทรัพย์สินของลูกและครอบครัวก็อยู่ในข่ายที่จะมีการพิจารณาในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ด้วย"

บุคคลระดับใกล้ชิด "ทักษิณ" จะแสดงภาพ-เสียง ส่งสัญญาณถึง "ชนชั้นกลาง" ด้วยข้อความหลัก

"พ.ต.ท .ทักษิณไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากรอความยุติธรรม ศาลเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน ท่านพูดว่า ถ้าการตัดสินยุติธรรม ก็คงจะนำไปสู่ความปรองดอง"

ความพยายามในการทำนายผลพร้อมแสดงให้เห็นว่า "ถูกกระทำ" จะถูก "สื่อสาร" ออกมาตอกย้ำ ตามข้อความที่ "นพดล" กล่าวว่า

"ผม ไม่ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก หลังจากนี้ ไม่ทราบว่า คตส.จะทำอะไร เจ้าของทฤษฎีวัวหญ้า หรือคนกินหญ้าจะออกมาปล่อยข่าวอะไรอีกไหม นักวิชาเกินและพรรคประชาธิปัตย์จะออกมาดิสเครดิตอะไรบ้าง ขอเถอะ อย่าไปชี้นำศาล หรือกดดันศาล คำตัดสินที่ยุติธรรมและอธิบายได้ จะทำให้ชาติสงบ"

"คำตัดสินไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเป็นไปใน ทางบวกหรือทางลบอย่างไร แต่ได้มีมาตรการรองรับในแนวทางที่สันติและแนวทางตามที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว" ทนายความส่วนตัวของ "ทักษิณ" ย้ำยืนยัน

ข้อเรียกร้อง ข้ามไม่พ้นเรื่อง "ขอนิรโทษกรรม"

ข้อกล่าวหาสำคัญที่สุด-อ่อนไหวที่สุด ของ "ทักษิณ" ถูกทนายแก้ต่างกลางอากาศ

"พ.ต.ท .ทักษิณและครอบครัวมีความเทิดทูนและจงรักภักดีต่อสถาบันไม่มีความคิดของคน ไทยคนใดที่จะก้าวล่วงสถาบัน อยากให้คนไทยให้ความเป็นธรรมกับ พ.ต.ท.ทักษิณด้วย"

สอดคล้องกับอดีตผู้พิพากษา-อดีตกรรมการบริหารพรรค ไทยรักไทย "นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา" ที่ "ออกหน้า" มาส่งข่าวสาร-ถึง "ศาล" และกลุ่ม เป้าหมาย ที่เป็นนักกฎหมายโดยเฉพาะ

"สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ ที่ศาลจะตัดสินยึดทรัพย์ทั้งหมด หรือบางส่วน ผมเห็นว่าคำตัดสินจะต้องตรงไปตรงมาและมีเหตุผลสรุปสนับสนุนคำวินิจฉัย หากตัดสินไปในทางที่ถูกต้องตามข้อเท็จจริงของข้อกฎหมาย เชื่อว่าประชาชนที่รอรับฟังผล จะให้การยอมรับคำตัดสินของศาล โดยผู้พิพากษาหรือตุลาการ ไม่ว่าจะพิพากษาคดีใดก็ตาม ต้องยึดมั่นในความสุจริต ไม่เห็นแก่หน้าใคร กระทำสิ่งใดต้องตรงไปตรงมา และไม่มีการรับใบสั่ง"

ที่สำคัญต้อง "ออกตัว" แทน"คนเสื้อแดง" และเปิดตัวมือที่ 3

"ที่ ผ่านมาการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงไม่ใช้ความรุนแรง ชุมนุมด้วยความสันติ ซึ่งขอเรียกร้องให้รัฐบาลโปรดระมัดระวังกลุ่มมือที่ 3 ที่อาจจะเข้ามาสร้างสถานการณ์ รวมทั้งรัฐบาลจะต้องดำเนินการจับกุมผู้ไม่หวังดี อีกทั้งรัฐบาลจะต้องไม่ใช้ ความรุนแรงกับประชาชนผู้มาชุมนุม"

เช่น เดียวกับ "บท" ของ "นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์" ทนายความ-อดีตนายกรัฐมนตรี-น้องเขย "ทักษิณ" ที่เปิดตัวเป็น"พนักงานพิทักษ์ทรัพย์" ให้ "พี่เมีย"

"สมชาย" บอกว่า ถ้าเป็นทรัพย์สินของ "ครอบครัวชินวัตร" บาทเดียวก็ยึดไม่ได้

นอก จากเปิดตัวคนในครอบครัว-นักกฎหมาย-ปัญญาชน เพื่อส่งสัญญาณถึง "ชนชั้นกลาง" แล้ว "ทักษิณ" ยังคงเปิดหน้ามาต่อสู้ ผ่านสื่อของตัวเองทั้งในอินเทอร์เน็ต-วิทยุ-และทีวีเสื้อแดง ในระดับความถี่มากกว่าปกติ 2 เท่า

ตัวอย่าง การโพสต์ "ข้อความ" บน "twiier.com/Thaksinliv" ที่ "พาดพิง" บุคคล-องค์กร ที่เกี่ยวข้องกับ เงื่อนไขของคดีในโค้งสุดท้าย อาทิ

"คุณสุทธิชัย หยุ่น ที่เป็นญาติคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่รู้เอาลิง 3 ตัวที่ปิดหู ปิดตา ปิดปากที่ใช้ตอนสมัยนายกฯชาติชาย ไปไว้ไหนเอ่ยขอยืมใช้หน่อยได้ไหมครับ"

"ถ้า อยากจะใช้ขอแนะนำให้เอาบุญ ให้ใช้ในเชิงบวกคนจะอยากฟัง/ชมมากกว่า ทุกวันนี้เรตติ้ง รายการการเมืองและข่าวของ TV หลักตกมาก คนปิดหนีหมด มีแต่เหลืองฟัง...สถานีวิทยุและโทรทัศน์ของรัฐทุกวันนี้ถูกใช้เป็นครั้งแรก เพื่อทำลายล้างทางการเมือง เปรียบเสมือนเป็นเครื่องมือของพรรคประชาธิปัตย์ยิ่งกว่ายุคคอมฯ"

ทั้งสำนักข่าวกรอง-องค์กรอิสระ-ศาล ถูก "อ้างอิง" ในเว็บส่วนตัวของ "ทักษิณ"

อดีต นายกฯกล่าวว่า "คงเป็นครั้งแรกที่เรื่องอยู่ในศาล รัฐบาลออกโรงวิจารณ์แบบสุด ๆ มันแสดงอาการกลัวทางการเมืองมากกว่าจริยธรรมของการเป็นรัฐบาล (ค้านมานาน)"

มีบางข้อความ "ทักษิณ" แสดงความ "อึดอัด" ต่อระบบยุติธรรมและเรื่อง "มาตรฐาน"

"ตาม ปกติระบบยุติธรรมไทยถือว่ามีมาตรฐานค่อนข้างดี เพิ่งจะมาเสียหาย ไม่นานนี้เอง ท่ามกลางความอึดอัดของผู้พิพากษาส่วนใหญ่เพราะถูกแทรกแซง"

แน่นอนว่า ทั้งฝ่าย "ทหาร-อำมาตย์" ถูกดึงเข้ามากระจายข่าว-สื่อสาร ที่ตรงไป-ตรงมา แบบไม่ต้องแปล

"รัฐ ประหารนำประเทศถอยหลังเพื่อรักษาระบบเดิมของอำมาตย์ไว้ อำมาตย์กลัวคนไทยพ้นภาวะพึ่งพา เพียงใช้ทหารโง่และอยากรวยก่อนเกษียณไม่กี่คน"

ท่ามกลางข่าวใต้ดิน "สินบนศาลพันล้าน" ที่หาหลักฐานไม่ได้ ถูกเปิดประเด็นมาจาก "สำราญ รอดเพชร" แห่งพรรคการเมืองใหม่

"เสียง ร่ำลือว่ามีความพยายามจะติดสินบน องค์คณะผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์ ถึงรายละ 1,000 ล้านบาท เพื่อให้ตัดสินไปในแนวทางที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะได้ประโยชน์ การตั้งข้อสังเกตเช่นนี้ไม่ได้มีหลักฐานอะไรยืนยัน เพราะเมื่อองค์คณะ 5 คน จาก 9 คน ลงความเห็นไปในทางที่จะไม่ยึด การลงทุนเช่นนี้ถือว่าคุ้มค่ากับเงิน 7.6 หมื่นล้านบาท"

นัก วิเคราะห์การเมืองหลายคนเชื่อว่า จุดจบคดี "ยึดทรัพย์" จะกลายเป็น "เงื่อนปม" ความขัดแย้งรอบใหม่ ต่อเนื่องไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น

นักวิชาการ-การเมืองตั้งสมมติฐานพร้อมข้อสรุปว่า

กรณีที่หนึ่ง หากศาลยกฟ้อง กรณีนี้เป็นไปไม่ได้ เพราะฝ่ายอำมาตย์จะต้องไม่ยอมให้เกิดขึ้น

กรณี ที่สอง หากศาลสั่งยึดทรัพย์ทั้งหมด แต่เชื่อว่าคำอธิบายจะไม่สามารถหยุดยั้งความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับประเทศ ได้ ทั้งในแง่ของความไม่สงบ-ความไม่มั่นคง จะเกิดขึ้นต่อเนื่อง

กรณี ที่สาม หากศาลสั่งให้คืนบางส่วน/ยึดบางส่วน ซึ่งจะทำให้สังคมจมอยู่กับปัญหาทรัพย์สินก้อนนี้ต่อไปอีกหลายเดือน เพื่อรอพิสูจน์ร่วมกับคดีที่เกี่ยวข้อง

นักการเมืองรายหนึ่ง วิเคราะห์ว่า "ถ้าฝ่ายอำมาตย์ฉลาด ต้องการเลี้ยงปัญหาต่อไป ก็ต้องเลือกแนวทางที่สาม เพราะจะทำให้ปัญหาทางการเมืองของฝ่ายสนับสนุน และฝ่ายต่อต้านปะทะกันต่อไป ดังนั้น หากฝ่ายอำมาตย์ต้องการรักษาอำนาจ-ยึดครองรัฐบาลต่อไปอีกระยะ ก็ต้องเลือกแนวทางนี้"

อดีตคนสนิทของ "ทักษิณ" เชื่อว่า ความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในเงื่อนไข วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 นั้น มีเพียง 2 ฝ่ายที่จะสร้างเงื่อนไขให้เกิดความรุนแรงได้ คือ ทหารและฝ่ายเสื้อแดง

เพราะบัดนี้ "ทักษิณ" เลือกแนวทางของตัวเองไว้แล้ว จึงได้เลือกใช้ "ไพ่ไฟ" หมดทุกใบ

ใช้เครื่องมือหมดทุกรูปแบบ ทั้งมวลชนรากหญ้า-ผู้รักความเป็นธรรม-ชอบความรุนแรง-นักกฎหมาย-คนในครอบครัว ร่วมรบ-ร่วมสู้

แต่ "ทักษิณ" ได้ตัดสินใจทิ้ง "กุญแจ" ดอกสำคัญในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายลงแม่น้ำไปเสียก่อน

เป็นกุญแจดอกที่มียุทธวิธีในการต่อสู้แยบยล เป็นบุคคล-กุนซือที่มักมีวิธีแก้ปัญหาแบบ "สันติ-ลึก-ลับ"

ข้อเสนอของ "จาตุรนต์ ฉายแสง" จึงถูกปฏิเสธตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้น

ความเห็นของ "น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช" จึงไม่ถูกเปิดใจรับฟัง

กุญแจดอกที่จะบรรจบด้วยการ "เจรจา" ควบคู่ "การรบ" จึงไม่ถูกไขรหัส

ประตูของคดียึดทรัพย์ จึงถูกปิดตาย ด้วยเงื่อน-ปม ที่ "ทักษิณ" เลือกเอง


หน้า 35
http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02pol01250253&sectionid=0202&day=2010-02-25

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687

เจาะตลาดขายส่ง "เจียงหนาน" เมืองหลวงผัก-ผลไม้แห่งนครกว่างโจว

 



วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4187  ประชาชาติธุรกิจ


เจาะตลาดขายส่ง "เจียงหนาน" เมืองหลวงผัก-ผลไม้แห่งนครกว่างโจว





"กวางตุ้ง" เป็นมณฑลที่มีมูลค่า GDP มากที่สุดของประเทศจีน หรือ 3.57 ล้านล้านหยวน เมื่อเทียบกับ GDP ของประเทศไทย ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1.84 ล้านล้านหยวน มีผลผลิตรวมทางอุตสาหกรรม การค้าระหว่างประเทศ การนำเข้า-ส่งออก การค้าปลีกสินค้าบริโภค และรายรับจากการท่องเที่ยวมากเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ โดยมีเขตเศรษฐกิจพิเศษถึง 3 แห่งที่ เมืองเสิ่นเจิ้น จูไห่ และซัวเถา ถือเป็น growth engine หลักของเศรษฐกิจจีน รวมทั้งเป็นศูนย์กลางการแสดงสินค้านานาชาติระดับโลกของจีน ส่งผลทำให้ประชากรในมณฑลกวางตุ้งมีรายได้ต่อหัวสูงเป็นอันดับ 6 ของประเทศ

ใน ปี 2552 การนำเข้าสินค้าเกษตรจากไทยของมณฑลกวางตุ้ง จะยังคงรักษาระดับใกล้เคียงกับปี 2551 สำหรับผลไม้และยางพารามีปริมาณการนำเข้ามากขึ้น เนื่องจากปริมาณความต้องการในการบริโภคผลไม้และการใช้ยางพาราเป็นวัตถุดิบ เพิ่มสูงขึ้น โดยทั่วไปมณฑลกวางตุ้งมีปริมาณการนำเข้าผลไม้จากกลุ่มอาเซียนคิดเป็น 67.9% ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมด และมีปริมาณการนำเข้าผลไม้จากไทยมากถึง 83.4% ของปริมาณการนำเข้าผลไม้จากอาเซียน หรือคิดเป็นสัดส่วน 56.6% ของปริมาณการนำเข้าผลไม้ทั้งมณฑล

เจาะเส้นทางขนส่งผลไม้จากไทยสู่จีน

ปัจจุบัน ผลไม้ไทยร้อยละ 70 จะถูกส่งไปจำหน่ายที่ตลาดขายส่งผลไม้"เจียงหนาน" นครกว่างโจว โดยอาศัยเส้นทางการขนส่ง 4 ช่องทาง ได้แก่ สายที่ 1 เข้าฮ่องกงผ่านด่านทางบกเหวินจิ่นตู้ (เสิ่นเจิ้น) ไปยังตลาดค้าส่งผักผลไม้เจียงหนาน ใช้เวลาขนส่ง ประมาณ 4 วัน 4 ชั่วโมง สายที่ 2 ระยะเวลาขนส่งกรุงเทพฯ-เจียงหนาน เข้าฮ่องกงผ่านท่าเรือหลานสือ (ฝอซาน) ไปยังตลาดค้าส่งผักผลไม้เจียงหนาน ใช้เวลาขนส่งประมาณ 4 วัน 10 ชั่วโมง

สายที่ 3 เข้าฮ่องกงผ่านท่าเรือฮวางผู่ (กว่างโจว) ใช้เวลาขนส่งประมาณ 4 วัน 6 ชั่วโมง 30 นาที และสายที่ 4 ขนส่งสินค้าจากกรุงเทพฯไปยังตลาดเจียงหนาน โดยไม่ผ่านฮ่องกง ใช้เวลาในการขนส่งประมาณ 4 วัน 4 ชั่วโมง สำหรับเส้นทางจากกรุงเทพฯไปท่าเรือเสอโข่ว มีต้นทุนค่าขนส่งโดยรวมประมาณ 66,500-73,500 บาท (ตู้ 40 ฟุต) ตลาดค้าส่งผักผลไม้ เจียงหนานมีการซื้อขายผักเฉลี่ยวันละ 10,000 ตัน ผลไม้วันละ 5,000 ตัน โดยตลาดแห่งนี้เป็นตลาดค้าส่งไปยังต่างมณฑลทั่วประเทศจีน และตลาดค้าส่งแก่ผู้ประกอบการค้าส่ง-ปลีกในมณฑลกวางตุ้ง ผ่านช่องทางหาบเร่ แผงลอย ร้านค้าท้องถิ่น ชุมชน และโมเดิร์นเทรด

สำนักงานเศรษฐกิจ การเกษตร (สศก.) ได้รวบรวมข้อมูลการส่งออกผลไม้สดจากไทยไปจีนในปี 2550 คิดเป็นปริมาณ 294,888 ตัน มูลค่า 4,955 ล้านบาท ปี 2551 ปริมาณ 368,290 ตัน มูลค่า 9,253 ล้านบาท และปี 2552 ปริมาณ 600,705 ตัน มูลค่า 9,420 ล้านบาท ในขณะที่บริษัท ตลาดค้าส่งผักและผลไม้ เจียงหนาน จำกัดเองได้รวบรวมสถิติผลไม้ไทยในปี 2550 มีปริมาณ 286,210 ตัน มูลค่า 13,758.30 ล้านบาท ปี 2551 ปริมาณ 335,140 ตัน มูลค่า 15,799.10 ล้านบาท และปี 2552 ปริมาณ 18,690 ตัน มูลค่า 20,473.90 ล้านบาท

อุปสรรคผลไม้ไทยในตลาดจีน

นาง อุไร สุวรรณวงศ์ กงสุลฝ่ายการเกษตร ประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว กล่าวว่า ปัญหาอุปสรรคของการค้าผลไม้ไทยในประเทศจีน ในด้านผู้ส่งออกพบว่าการเสียค่าใช้จ่ายในการออกแบบเหมารวม ทำให้ไม่มีหลักฐานในการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ปัญหาการค้าแบบฝากขาย ทำให้ผู้ค้าฝ่ายไทยเสียเปรียบ มีการตั้งราคากลางในการประเมิน VAT 13% สูงกว่าราคาจริงที่ขายได้ ซึ่งฝ่ายไทยคงต้องเปิดการเจรจากับศุลกากรมณฑลกวางตุ้ง

นอกจากนี้ หน่วยงานตรวจสอบสุขอนามัย CIQ ยังแจ้งว่า พบศัตรูพืชที่ยังมีชีวิต เช่น มดดำ (มังคุด) เพลี้ยแป้ง (ลำไย) เพลี้ยหอย (ทุเรียน) เป็นศัตรูพืชกักกันของจีน รวมทั้งสูงกว่าที่จีนกำหนด และมีปัญหาการปลอมแปลงแหล่งกำเนิดสินค้า โดยมีผู้นำเข้าผลไม้เวียดนามแล้วแอบอ้างว่าเป็นผลไม้ไทย ทางด่านผิงเสียง มณฑลกว่างสี เนื่องจากเวียดนามได้รับอนุญาตให้นำเข้าผลไม้ได้เพียง 8 ชนิด ขณะที่ผลไม้ไทยได้รับอนุญาตมากถึง 23 ชนิด ด้านผู้ขายพบว่าได้นำผลไม้ชาติอื่นมาจำหน่ายในนามผลไม้ไทย เนื่องจากได้ราคาดีกว่าแต่คุณภาพไม่ดี ทำให้เสียชื่อผลไม้ไทย

ปัญหา เส้นทางขนส่งโลจิสติกส์ที่ยังมีปัญหาการกระจุกตัวของจุดนำเข้าสินค้ามุ่ง กระจายสินค้าสู่ภาคเหนือและภาคตะวันตกของจีน ผู้ส่งออกไทยควรเลือกใช้เส้นทางโลจิสติกส์ใหม่ ๆ เช่น เส้นทางขนส่งทางบก ได้แก่ สาย R3E ประมาณ 2,272 กิโลเมตร (กทม.-เชียงราย-คุนหมิง-เฉิงตู) กับสาย R9 ประมาณ 1,150 กิโลเมตร (มุกดาหาร-ลาว-เวียดนาม-ด่านผิงเสียง กว่างสี) เส้นทางขนส่งทางน้ำ-ท่าเรือ เสอโข่ว และการขนส่งทางอากาศ

แนะเปิดตลาดให้ถูกใจคนกวางตุ้ง

ผล ไม้ที่เป็นที่นิยมของชาวจีน ได้แก่ทุเรียน ลำไย มังคุด กล้วย คู่แข่งสำคัญในการส่งออกผลไม้เมืองร้อนของไทย คือ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เวียดนาม และไต้หวัน นอกจากทุเรียน มังคุด ลำไย ที่เป็นสินค้าหลักของไทยแล้ว กลุ่มผลไม้ที่มีแนวโน้มเติบโตดีในตลาดจีน คือ กล้วยไข่ เงาะ ชมพู่ มะขามหวาน ขนุน ส้มโอ มะม่วง สละ ผลไม้ไทยในตลาดจีนที่ยังไม่มีคู่แข่ง คือ ทุเรียน ส่วนกล้วยไข่ที่รู้จักในชื่อ "หวงตี้เจียว" หมายถึง "กล้วยจักรพรรดิ" ขณะนี้กำลังเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมในวงกว้างขึ้น

ส่วนลองกอง ตลาดจีนยังไม่ค่อยรู้จัก แต่ก็เริ่มมีผู้นำเข้ามาขายและผู้บริโภคที่ได้ทดลองชิมแล้ว คนจีนส่วนใหญ่ชอบลองกอง แต่ยังมีปัญหาในเรื่องของอายุในการเก็บรักษาค่อนข้างสั้นและมีปัญหาเชื้อรา ที่ผิว ทำให้อายุการวางขายสั้น ปัจจุบันมะปราง แก้วมังกร แตงโม แคนตาลูป และพุทรา ยังไม่อยู่ในรายชื่อผลไม้ไทยที่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าจีน แต่เป็นผลไม้ที่มีศักยภาพ

ผลการสำรวจรสนิยมการรับประทานผลไม้ของ ผู้บริโภคชาวจีน มณฑลกวางตุ้ง พบว่าร้อยละ 80 ชอบทานผลไม้สด ร้อยละ 20 ชอบทานผลไม้แห้งและแปรรูป คนกวางตุ้งนิยมซื้อผลไม้ทั้งลูกมากกว่าการแกะเนื้อ รวมทั้งนิยมรับประทานผลไม้รสหวาน ด้านพฤติกรรมผู้บริโภคชาวจีน มณฑลกวางตุ้ง ที่มีต่อผลิตภัณฑ์สินค้าแปรรูปพบว่า คนกวางตุ้งนิยมสีสันสวยงามโดยเฉพาะสีแดง ทอง เนื่องจากมีความหมายที่ดี เป็นสิริมงคล และสามารถซื้อเป็นของฝากของขวัญในช่วงเทศกาลสำคัญต่าง ๆ ของจีนได้


หน้า 7
http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02inv04250253&sectionid=0203&day=2010-02-25

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687



 

2 โรงกลั่นน้ำมันฟันกำไรหมื่นล. "บางจาก-PTTAR"ยิ้มรับปี 2553


 


วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4187  ประชาชาติธุรกิจ


2 โรงกลั่นน้ำมันฟันกำไรหมื่นล. "บางจาก-PTTAR"ยิ้มรับปี 2553




ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานผลประกอบการของ 2 โรงกลั่นน้ำมันปรากฏ บริษัท ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PTTAR มีรายได้จากการขายในปี 2552 อยู่ที่ 20,015 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิ 9,162 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกำไรในปี 2551 ที่ผ่านมา มีกำไรแค่ 8,465 ล้านบาท โดยกำไรส่วนหนึ่งมาจากราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี เฉลี่ยราคาน้ำมันในปี 2552 อยู่ที่ 75 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ยิ่งเมื่อทุกระบบเชื่อมต่อกันทั้ง 3 หน่วยผลิต (AR1, AR2, AR3) ส่งผลให้กำลังผลิตของ PTTAR เต็มกำลังอยู่ที่ 254,000 บาร์เรล/วัน นอกจากนี้พาราไซลีนกับเบนซีนมีส่วนต่างราคาเมื่อเปรียบเทียบกับราคาน้ำมัน ดิบ แล้วถือว่าดีมาก อย่างพาราไซลีนส่วนต่างอยู่ที่ 420 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนเบนซีนส่วนต่างอยู่ที่ 164 เหรียญสหรัฐ/ตัน

คาดการณ์ความต้องการ ใช้น้ำมันในปี 2553 ยังคงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้จะเห็นได้ชัดเพราะเศรษฐกิจกำลังดีขึ้น น้ำมันดิบจะมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 75 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และความต้องการใช้ทั้งพาราไซลีนและ เบนซีนยังโตต่อเนื่องจะส่งให้ราคาขยับขึ้นไปอีก เพราะจะมีบางโรงกลั่นในหลายประเทศปิดซ่อมบำรุงหรือเลือกที่จะกลั่นเฉพาะ น้ำมันที่ทำรายได้ให้ อาจทำให้กำลังผลิตบางส่วนหายไป

ด้านบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ในปี 2552 มีกำไร 7,524 ล้านบาท สูงกว่าเมื่อปี 2552 ที่ต้องเผชิญกับภาวะการขาดทุนสต๊อกลอส ที่สำคัญถือว่า ปี 2552 เป็นปีที่ดีที่สุดที่เปิดโรงกลั่นน้ำมันบางจากมา โดยมีค่าการกลั่นสูงถึง 12 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เดินเครื่องกลั่นน้ำมันที่ 79,200 บาร์เรล/วัน มียอดจำหน่ายน้ำมันอยู่ที่ 300 ล้านลิตร/เดือน ค่าการตลาด (margin) อยู่ที่ 1.50 บาท/ลิตร ทั้งนี้ยังมองถึงตลาดค้าปลีกน้ำมันในประเทศว่า ความต้องการใช้น้ำมันในปี 2553 นี้จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 และมีแผนที่จะขยายสถานีบริการที่จำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ให้เพิ่มเป็น 300 แห่งในปีนี้ และเตรียมลงทุนอีก 5,000 ล้านบาท เพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ กำลังผลิต 30 เมกะวัตต์ ที่อยุธยา ที่จะใช้เงินลงทุน 3,200 ล้านบาท และร่วมทุนโรงงานผลิตเอทานอล 200,000 ลิตร/วัน ลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาทด้วย


หน้า 5
http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02inv03250253&sectionid=0203&day=2010-02-25



 

Active Therapy สยบอาการปวดหลัง




วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 เวลา 10:42:14 น.  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

Active Therapy สยบอาการปวดหลัง

จรัญ ยั่งยืน...เรื่อง


อาการ ปวดหลังได้ย่างสามขุมมาคุกคามคนวัยทำงานมากขึ้นทุกวัน เป็น ๆ หาย ๆ เป็นแล้วยิ่งเป็นมากขึ้น แล้วจะทำอย่างไรดีจึงจะสามารถหยุดเรื่องที่รบกวนใจรบกวนกายเหล่านี้ได้

ก่อนอื่นต้องมาดูที่ต้นเหตุก่อนว่า อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เราปวดหลัง ?

ดร.ทนต์ ทณัฐ โรจนาศรีรัตน์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน ไคโรแพร็กติก ไคโรเมดคลินิก บอกว่า ปัญหาของโครงสร้างของร่างกายกว่า 80% มาจากการใช้โครงสร้างผิดลักษณะในเรื่อง การนั่ง ยืน เดินต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ถ้าทำอย่างผิดวิธีต่อเนื่องจะทำให้โครงสร้างของร่างกายเสื่อมสภาพ แล้วโรคหลาย ๆ อย่างจะตามมา

คนเมืองทุกวันนี้ปวดหลัง ปวดตา

ปวด ไหล่ แล้วลามมาที่เบ้าตากันมาก ซึ่งเป็นหนึ่งของอาการที่ เรียกว่า ออฟฟิศซินโดรม เพราะด้วยสภาพแวดล้อมของสังคมเมือง ทำให้คนเราแอ็กทีฟน้อยลง เทคโนโลยีต่าง ๆ ทำให้เราขี้เกียจมากขึ้น เราจะไม่ได้พัฒนา ในส่วนของฟิสิคอลมากเท่าที่ควร รวมถึงเรื่องการดูแลตัวเอง การออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร

สภาวะความตึงเครียดต่าง ๆ ก็นำมาสู่เรื่องของอาการปวดต่าง ๆ นี้ได้

แล้วจะรักษาอาการปวดหลังอย่างไร ?

น.พ.พศวี ร์ สมหวังทรัพย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญประจำไคโรเมดคลินิก กล่าวว่า ปกติเมื่อเราป่วย ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล ส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาแบบ passive therapy หมอตรวจร่างกาย สุดท้ายก็เป็นการรักษาโดยใช้ยา ทำกายภาพบำบัด เมื่อกินยาหรือทำกายภาพบำบัดไปสักพักหนึ่ง อาการก็ไม่ค่อยดีขึ้น สุดท้ายจึงลงเอยที่การผ่าตัด

แต่ทางไคโรเมดใช้หลักการ active therapy เชื่อว่ามีประสิทธิภาพในการบำบัดรักษาผู้ป่วยมากที่สุด เพื่อป้องกัน หรือลดการกลับมาเป็นซ้ำของผู้ป่วย โดยจะใช้เทอราปิสต์เอ็กเซอร์ไซส์ เป็นเอ็กเซอร์ไซส์แนวใหม่ที่มีงานวิจัยรองรับ ซึ่งจะช่วยได้ดีในเรื่องทุก ๆ ส่วนที่เกี่ยวกับอาการปวด

active therapy มีหลักการ 3 ประการ คือ
1.การรักษาสมดุลโครงสร้างของร่างกาย
2.การใช้ลักษณะท่าทางที่ถูกต้อง
3.การออกกำลังกายในเชิงป้องกัน

ปกติโครงสร้างของกระดูกสันหลังของคนเราจะมีส่วนเว้า

ส่วน โค้งเหมาะสมในการรับน้ำหนักและการเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง แต่ด้วยพฤติกรรมการเดิน, การนั่ง, การยืน, การยกของในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น เดินหลังงอ, นั่งไขว่ห้าง, ยืนหลังแอ่น การถือหรือ

สะพายกระเป๋าด้วยแขนหรือไหล่ข้างใดข้างหนึ่งเป็นประจำเป็นระยะเวลายาวนาน จะส่งผลให้โครงสร้างร่างกายผิดรูป เช่น หลังแอ่น, หลังคด

หากโครงสร้างร่างกายเริ่มผิดรูป กระดูกสันหลังจะเริ่มผิดปกติ

ทำให้มีผลต่อ "ข้อกระดูก" ที่ต้องแบกรับน้ำหนักมากกว่าปกติ

"กล้ามเนื้อ" ที่จะเสียภาวะสมดุล จนเกิดเป็นอาการปวดตามบริเวณ ต่าง ๆ ขึ้น

"เมื่อ เราเข้าใจโครงสร้างร่างกายของเราแล้ว การดูแลรักษาอาการปวดหลังแก้ไขได้ เริ่มจากการรักษาภาวะสมดุลของร่างกายให้ดีที่สุด การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้อิริยาบถ ต่าง ๆ ที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันไม่ใช้กระดูก ข้อต่อ และกล้ามเนื้อ

ทำงานผิดปกติ"

และ หลักสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การออกกำลังกายเชิงป้องกันมาผสมผสานควบคู่ไปด้วย เพราะจากการศึกษาพบว่าการแก้ปัญหาปวดหลังให้ได้ผลในระยะยาวนั้นจะต้องพัฒนา เรื่อง "ความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของโครงสร้าง" ร่วมกับการแก้ไขในส่วนของโครงสร้างที่ผิดรูปอย่างถูกต้อง

ฉะนั้นจะต้องมีการฝึกการออกกำลังกายอย่างถูกต้อง

ไม่ฝืนธรรมชาติ เพราะอาจทำให้เกิดปัญหากับโครงสร้าง

เรา มีผู้เชี่ยวชาญแนะนำการออกกำลังกายด้วยเครื่องมือและอุปกรณ์ทันสมัยที่สุด แห่งหนึ่งในเมืองไทย เครื่อง kinesis, huber, power plate, reformer, anterior flexibility และ posterior เป็นต้น

โดยการออกกำลังกายจะ เป็นการเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เพิ่มความยืดหยุ่น ตลอดจนการปรับสมดุลของโครงสร้างร่างกายให้อยู่ในท่าทางที่ถูกต้อง

นอก จากนี้ไคโรเมดคลินิกยังใช้ศาสตร์ไคโรแพร็กติกแนวผสมผสาน (intregrated chiropractic) ซึ่งแนวคิดใหม่เพื่อผลลัพธ์สูงสุดในการรักษาอาการปวดหลังแบบองค์รวม เพื่อจัดกระดูก ที่ผิดรูปให้กลับคืนโครงสร้างตามธรรมชาติอย่างค่อยเป็นค่อยไปผสมผสานเข้ากับ เวชศาสตร์ฟื้นฟู และการทำกายภาพบำบัดเพื่อการฟื้นฟูและเพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกาย ช่วยให้ระบบต่าง ๆ สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยจะมีการทำ อัลตราซาวนด์, เลเซอร์, ประคบร้อน, ประคบเย็น, TENS, Traction มีการนำวิทยาศาสตร์การกีฬาที่ใช้หลักการออกกำลังกายมาช่วยบำบัดรักษาและ ป้องกันความผิดปกติของกล้ามเนื้อ

กระดูก และข้อต่อ เพื่อช่วยเสริมสร้างให้สมรรถภาพทางกายกลับคืนสู่สภาวะปกติ หรือใกล้เคียงดังเดิมมากที่สุด รวมทั้งแนะนำด้านโภชนาการให้คนไข้อย่างเหมาะสม

ดร.ทนต์ทณัฐกล่าวว่า ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เพียงแต่จะช่วยหยุดอาการปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดศีรษะ

โดยไม่ต้องผ่าตัดแล้ว การบำบัดด้วย active therapy ยังช่วยฟื้นฟูร่างกายในระยะยาว ทำให้สุขภาพโดยรวมของคนไข้ ดีขึ้นทั้งรูปลักษณ์

ภายนอกดูดี ไม่อ้วน และมวลสารต่าง ๆ

ภายในร่างกายอยู่ในระดับ สมดุลอย่างที่ควรเป็น

แต่ถ้ารักษาแล้ว

3 เดือน อาการยังไม่ดีขึ้นก็ต้องพิจารณาเรื่องผ่าตัด "เราไม่ได้บอกว่า

การผ่าตัดเป็นสิ่งที่ไม่ดี หากคนไข้มีความจำเป็นก็หลีกหนี ไม่พ้น แต่ปัจจุบันเราพบว่าอาการปวดหลังมากกว่า 80% ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด"

นี่เป็นแนวทางรักษาอาการปวดหลัง

ที่น่าสนใจแนวทางหนึ่ง
                            http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1267069362&grpid=07&catid=00&sectionid=0225

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687

"เรืองไกร" เปลี๋ยนไป๋ ? จากแจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ สู่"แจ๊คกี้"เพื่อนทักษิณ "ของจริง" หรือ "อยากดัง" ?




วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 เวลา 12:59:09 น.  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

"เรืองไกร" เปลี๋ยนไป๋ ? จากแจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ สู่"แจ๊คกี้"เพื่อนทักษิณ "ของจริง" หรือ "อยากดัง" ?

เจ้า ของฉายา "แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์" ยื่นเรื่องร้องเรียนคุณสมบัติของนายสมัคร สุนทรเวช กรณีจัดรายการอาหารชิมไปบ่นไปจนศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายกรัฐมนตรีผู้ ล่วงลับกระเด็นตกเก้าอี้นายกรัฐมนตรี วันนี้นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกวุฒิสภา (สรรหา) นามกระเดื่อง กำลังถูกครหาว่า "เปลี่ยนไป" เสียแล้ว

ปรากฏการณ์ เปลี่ยนไปของ เรืองไกร  สืบเนื่องจากการโดดขึ้นเวที เสวนาเรื่อง “ทิศทางประเทศไทยปี 2553” จัดโดยกลุ่มกรุงเทพ 50 พรรคเพื่อไทย  พร้อมด้วยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) นายคณิน บุญสุวรรณ อดีต ส.ส.ร.2540 นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย  โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นวิทยากรพิเศษด้วยการวิดีโอลิงก์มาจากต่างประเทศ เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
     นอกจากพูดถึงรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ส่งผลกระทบต่อตัวรัฐมนตรี คดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทซึ่งยังไม่ชัดเจนแล้ว ยังเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แก้ปัญหาความขัดแย้งในประเทศด้วยการยุบสภาอีกต่างหาก
      ถ้าจะบอกว่าบรรยากาศปลุกเร้าพาไป ...ก็คงไม่ใช่
      ก่อนหน้านี้มีเสียงซุบซิบว่าหลังปักหลักเขียนคอลัมน์ในเชิงตรวจสอบให้กับ สื่อที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาลประชาธิปัตย์  ส.ว.จอมตรวจสอบได้เจียดเวลาไปหวดวงสะวิงกับเครือข่ายคนเสื้อแดง
       ทำให้ถูกปะติดปะต่อในทางไม่งามนัก
      "เรืองไกร"เข้าสู่ถนนการเมือง จากการผลักดันของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินซึ่งเขาเคยเป็นที่ปรึกษา  หลังจากเล่นบทตรวจสอบจนมีชื่อเสียง มีคนแอบได้ยินฝ่ายหลังออกปากว่า "เขาดังจนไม่ฟังใครแล้ว"
      "เรืองไกร"เริ่มดังเป็นพลุแตกเมื่อเขายื่นตรวจสอบการโอนหุ้นของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร กับ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์  โดยยกกรณีซื้อขายหุ้นขนาดเล็กของตัวเองและคนในครอบครัวมาเปรียบเทียบกับคุณ หญิงพจมาน แต่กรมสรรพากรกับมีคำวินิจฉัย 2 มาตรฐาน เก็บภาษีเขาแต่ไม่เก็บภาษีคุณหญิงพจมาน คดีนั้นทำให้บิ๊กข้าราชการกรมสรรพากรถูก ป.ป.ช.ฟันวินัยร้ายแรง
       ก่อนหน้านี้ "เรืองไกร"ได้ยื่นให้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ตรวจสอบนายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในรัฐบาลสุรยุทธ์ จุลานนท์ ฐานเข้าข่ายกระทำความผิด เนื่องจากเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นเอกชนที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล ควบคุม หรือตรวจสอบของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยนายโฆสิตเคยดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการของผาแดงฯในฐานะตัวแทนผู้ถือหุ้นใหญ่ คือธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) แต่ ป.ป.ช.เห็นว่าไม่มีมูล
      "เรืองไกร"ดังสุดขีด ยุครัฐบาลสมัคร สุนทรเวช เมื่อยื่นเรื่องผ่านประธานวุฒิสภาถึงศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยคุณสมบัติของ นายสมัคร อันเนื่องจากการจัด รายการอาหารทางหน้าจอทีวี "ชิมไปบ่นไป" กระทั่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายสมัคร พ้นตำแหน่ง นายกฯ เนื่องจากผลประโยชน์ทับซ้อน
       ยุครัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ "เรืองไกร"ยื่นเรื่องต่อ  ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบ น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ บุตรสาวนายสมชาย และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ปกปิดบัญชีแสดงราชการทรัพย์สินและหนี้สิน  อันเนื่องมาจาก น.ส.ชินณิชาอ้างว่ากู้เงิน 100 ล้านบาทจากนายบรรณพจน์ ดามาพงษ์ (กรณี คตส.ตรวจสอบเส้นทางเงินจากขายหุ้นชินคอร์ป 6.9 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณแล้วพบว่ามีเงินจากบัญชีเงินฝากนายบรรณพจน์โอนให้ น.ส.ชินณิชา 100 ล้านบาท) ยังอยู่ระหว่างไต่สวน
       มีนักการเมืองอีกหลายคนถูกนายเรืองไกรยื่นตรวจสอบ อาทิ  กรณีถือหุ้นในบริษัทที่รับสัมปทานจากรัฐ (โรงโม่หิน) ของนายชัย ชิดชอบ  พ่อของนายเนวิน ชิดชอบ แต่ กกต.ยกคำร้อง ,การถือครองหุ้นที่เป็นคู่สัมปทานรัฐของสมาชิกวุฒิสภาจนคณะกรรมการการเลือก ตั้งส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
       ในยุครัฐบาลประชาธิปัตย์ "เรืองไกร" ประเดิมตรวจสอบ การส่งข้อความสั้น (เอสเอ็มเอส)  17 ล้านเบอร์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.2551 ซึ่งอยู่ระหว่างไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
       กล่าวสำหรับทรัพย์สินของ นักตรวจสอบ ถ้าเทียบกับสมาชิกสภาสูงด้วยกัน "เรืองไกร" ติด 1 ใน 45 คนที่รวยเกิน 100 ล้าน
        ทั้งนี้ ตอนรับตำแหน่ง สมาชิกวุฒิสภา เดือนมีนาคม 2551 แจ้ง ป.ป.ช. มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 55,932,327 บาท  แบ่งเป็น เงินสด 553,000 บาท เงินฝาก 7 บัญชี 41,306,522 บาท เงินลงทุน 2 ล้านบาท เงินให้กู้ยืม 4.5 ล้านบาท ที่ดิน 10 แปลง 793,350 บาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่ดินใน อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ นอกจากนี้ยังมีบ้าน 2 หลัง มูลค่า 6,429,500 บาท และรถยนต์ 1 คัน 350,000 บาท หนี้สิน 9,451 บาท
       นางอโนทัย   คู่สมรส   มีทรัพย์สิน 64,517,131   แบ่งเป็นเงินฝาก 4 บัญชี 7,289,677 บาท เงินลงทุน 31,150,213 บาท เงินให้กู้ยืม 9,077,449 บาท ที่ดิน 3 แปลง 1,934,100 บาท บ้าน 1 หลัง 1.2 ล้านบาท และทรัพย์สินเครื่องประดับอื่นๆ 13,865,690 บาท หนี้สิน 9,259 บาท
       บุตรยังไม่บรรลุนิติภาวะ 161,522 บาท
       เบ็ดเสร็จมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 120,592,315 บาท
       อยู่ในอันดับ 44 ในหมู่สภาสูง
       อย่างไรก็ตาม ในบทบาทเชิงตรวจสอบ แทบไม่มีใครติดใจนายเรืองไกร
       แต่ภาพที่คลุกคลีกับเครือข่ายเสื้อแดง
       คู่ปรปักษ์ พ.ต.ท.ทักษิณ เห็นแล้วแสลงใจ
       ขณะที่คนที่อยู่กลาง ๆ  เริ่มตั้งคำถาม
       ของจริง หรือ หุ้มทอง ?
  ........
                             http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1267007736&grpid=no&catid=03

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687

ชูวิทย์แจมไฮด์ปาร์กม็อบชาวนาภาคกลางปิดถนน

นที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 เวลา 14:09 น.  ข่าวสดออนไลน์


ชูวิทย์แจมไฮด์ปาร์กม็อบชาวนาภาคกลางปิดถนน

5 อำเภอในพิจิตรก็ปิดถนนประท้วง

     เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 26 ก.พ. กลุ่มชาวนาจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี สุพรรณบุรี นครปฐม  และนนทบุรี ประมาณ 500 คน รวมตัวปิดถนนประท้วงบนถนนสาย 340 ตลิ่งชัน–สุพรรณบุรี ม.3 ต.สามเมือง อ.ลาดบัวหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ทำให้รถยนต์ที่จะสัญจรผ่านเส้นทางดังกล่าวติดขัด โดยตำรวจได้จัดเจ้าหน้าที่ระบายรถไปในเส้นทางเลี่ยงหลังตลาดลาดบัวหลวง เข้ากรุงเทพฯ และสุพรรณบุรี แทน
     ระหว่างนั้นนายชูวิทย์  กมลวิศิษฎ์  เดินทางผ่านเส้นทางดังกล่าว  ปรากฏว่ารถติดเดินทางผ่านไปไม่ได้ จึงได้จอดรถลงมาร่วมเวทีปราศรัยกับกลุ่มผู้ชุมนุมชาวนา โดยนายชูวิทย์ ระบุว่า ขอให้ชาวนาที่ได้รับความเดือดร้อนรวมตัวกันให้แน่น เพื่อเคลื่อนขบวนพร้อมเครื่องมือการเกษตรไปยังทำเนียบรัฐบาล เพื่อทวงถามการให้ความช่วยเหลือและการแก้ปัญหาราคาข้าวอย่างเป็นระบบ   ซึ่งการปรากฏตัวของนายชูวิทย์ และการปราศรัย  ในครั้งนี้ได้สร้างสีสัน  ในการชุมนุมเป็นอย่างมาก  จนได้รับเสียงปรบมือและโห่ร้องอยู่เป็นระยะ
     อย่างไรก็ตามในการเรียกร้องเพื่อแก้ไขปัญหาราคาข้าวของกลุ่มชาวนาในครั้ง นี้  ไม่มีตัวแทนของรัฐบาล หรือกระทรวงพาณิชย์ มาเจรจาแต่อย่างใด ทำให้กลุ่มชาวนาไม่พอใจ  และเคลื่อนขบวนไปปิดถนนบริเวณ  สี่แยกนพวงศ์  จ.นนทบุรี ทำให้การจราจรติดขัดอย่างหนัก
     สำหรับข้อเรียกร้องที่ชาวนาเรียกร้องประกอบด้วย  ให้กำหนดราคาประกันอยู่ที่ตันละ 12,000  บาท ให้ขยายโควตาโครงการประกันจาก 25 ตัน เป็น 50  ตัน ให้เปลี่ยนจากโครงการประกัน เป็นการรับจำนำแบบระบบเก่า  และกรมการค้าภายใน ต้องสั่งให้โรงสีข้าวทุกแห่งเปิดรับซื้อข้าวของเกษตรกรในทันที เนื่องจากปัจจุบันรัฐบาลกำหนดให้มีการเปิดจุดรับซื้อข้าวที่ จ.พระนครศรีอยุธยา 4 จุด  แต่ความเป็นจริงทำได้เพียงจุดเดียว เพราะโรงสีไม่มีเงินที่วางค้ำประกันกับรัฐบาล เพื่อเข้าร่วมโครงการเปิดจุดรับซื้อ

 

     ก่อนหน้านี้เวลา 09.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดพิจิตรว่า ที่บริเวณสี่แยกทุ่งใหญ่เขตติดต่อระหว่าง ม.5 ต.ดงเสือเหลือง และม.19 ตำบลทุ่งใหญ่ อำเภอโพธิ์ประทับช้าง อำเภอเมืองพิจิตร ถนนทางหลวงหมายเลข 117 พิษณุโลก – นครสวรรค์ได้มีกลุ่มเกษตรกรชาวนาเกือบ 300 คนจาก 5 อำเภอ ได้แก่โพธิ์ประทับช้าง สามง่าม บึงนาราง วชิรบารมี โพทะเล ตะพานหิน ได้มารวมตัวประท้วงเรียกร้องให้รัฐบาลประกันราคาให้กับเกษตรกรชาวนาในราคา ตันละ 12,000 บาท ซึ่งขณะนี้ถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลางและโรงสีเหลือเพียงตันละ 5,000-6,000 บาท และให้รัฐบาลควบคุมราคา ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ซึ่งขณะนี้บรรดาร้านค้าฉวยโอกาสขึ้นราคาช่วงที่ชาวนาประสบปัญหาเพลี้ยกระโดด ทำลายนาข้าว รวมทั้งขอให้มีการพักชำระหนี้เกษตรกรชาวนา เนื่องจากขณะนี้ถูก ธนาคาร ธ.ก.ส. มีหนังสือแจ้งให้ไปจ่ายเงินกู้หากไม่มี ธ.ก.ส. ขู่ว่าจะขึ้นดอกเบี้ย และจะไม่ให้กู้เงินต่อ ตลอดจนเร่งตั้งโต๊ะเปิดจุดรับประกันราคา เกษตรกรชาวนาเพิ่มขึ้น โดยการชุมนุมประท้วงดังกล่าวทำให้สภาพการจราจร ซึ่งเป็นเส้นทางสายหลักจากภาคเหนือลงสู่ภาคกลางติดขัด
     ทั้งนี้กลุ่มผู้ชุมนุมได้เรียกร้องให้นายสุวิทย์ วัชโรทยางกูร ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ออกมารับหนังสือเพื่อให้เสนอผ่านไปยังรัฐบาล ปรากฏว่าผู้ว่าฯยังติดประชุมจึงมอบหมายให้นายประทีป พิทักษ์ นายอำเภอโพธิ์ประทับช้าง มาเจรจาแทนแต่กลุ่มผู้ชุมนุมไม่พอใจ กระทั่งเวลา 12.00 น. นายสุวิทย์พร้อมด้วยพ.ต.อ. จรวย ผลประเสริฐ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพิจิตร และกรมการค้าภายใน พาณิชย์จังหวัด คณะอนุกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติระดับจังหวัด ได้เดินทางมาพบกับกลุ่มผู้ประท้วงและรับปากว่าจะนำหนังสือข้อเรียกร้องของ เกษตรกรชาวนาส่งถึงมือนายกรัฐมนตรี เพื่อให้มีการแก้ไขปัญหาให้ สร้างความพึงพอใจในระดับหนึ่งต่อผู้ชุมนุมก่อนที่จะสลายการชุมนุม แต่จะรอฟังคำตอบภายใน วันที่ 4 มี.ค. หากยังไม่ได้รับความช่วยเหลือหรือมีการเปิดจุดรับซื้อข้าวจากเกษตรกรชาวนา จะนัดชุมนุมใหญ่โดยปิดถนนเส้นทางสายหลักพร้อมๆ กัน












http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRJMk56RTJPREl3T1E9PQ==

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687

วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เก้าอี้เจ้าปัญหา จนท.สรรพากรปวดหลังใช้เก้าอี้ส่วนตัวไซส์ใหญ่ หน.เดือดถูกทาบรัศมีสุดท้ายต้องย้ายอำเภอ

 
เก้าอี้สีดำของน.ส.รัศมี


หนังสือชี้แจง

วันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 เวลา 21:26:02 น.  มติชนออนไลน์

เก้าอี้เจ้าปัญหา จนท.สรรพากรปวดหลังใช้เก้าอี้ส่วนตัวไซส์ใหญ่ หน.เดือดถูกทาบรัศมีสุดท้ายต้องย้ายอำเภอ

เก้าอี้พ่นพิษ จนท.สรรพากรปวดหลังต้องมีเก้าอี้ส่วนตัว ผู้ใหญ่ไม่พอใจ เจ้าตัวงงผิดระเบียบข้อไหน สุดท้ายต้องระเห็จไปพื้นที่อื่น

 

กรณีมีการวิพากษ์วิจารณ์ทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์พร้อมลงเอกสารและบันทึก ข้อความ เกี่ยวกับเรื่องเก้าอี้นั่งส่วนตัวของ น.ส.รัศมี ไทยสิทธิพงษ์ นักวิชาการสรรพากรชำนาญการ อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งนำมานั่งในที่ทำงานโดยไม่ได้ใช้เก้าอี้นั่งของทางสรรพากรอำเภอศรีประ จันต์ที่จัดไว้ให้ เนื่องจากเป็นโรคปวดหลัง แต่ทาง น.ส.ศิริลักษณ์ ไหวดี สรรพากรอำเภอศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี เห็นว่าไม่เหมาะสม ทำให้ประชาชนที่เข้ามาใช้บริการเสียภาษี อาจเกิดความสับสนว่าใครกันแน่ที่เป็นหัวหน้าหน่วยงาน จึงมีบันทึกข้อความให้ น.ส.รัศมีใช้เก้าอี้ของสำนักงานแทนเก้าอี้ส่วนตัว และมีคำสั่งให้เอาเก้าอี้ส่วนตัวกลับบ้าน ทำให้มีการเผยแพร่เรื่องราวดังกล่าวทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์สร้างความงุนงง แก่ผู้อ่านจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวเป็นอย่างมาก เพราะเห็นว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นจนส่งผลให้มี การวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในขณะนี้


เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าว "มติชน" จึงติดตามเรื่องที่เกิดขึ้นและสอบถาม น.ส.รัศมี ไทยสิทธิพงษ์ นักวิชาการสรรพากรชำนาญการ อำเภอศรีประจันต์ เจ้าของเก้าอี้ที่มีปัญหา เปิดเผยว่า เรื่องนี้ไม่อยากพูดถึงแล้ว สะเทือนความรู้สึก และตนทำงานที่ศรีประจันต์ไม่มีความสุขแล้ว ได้ขอย้ายตัวเองทำงานที่อำเภอดอนเจดีย์ขณะนี้ ซึ่งมีคนขอร้องให้ทำงานที่เดิมแต่ทำต่อไม่ได้จริงๆ เพื่อความสบายใจก็ขอย้ายมาทำงานที่อำเภอดอนเจดีย์ก็พอใจแล้วตอนนี้


"เรียนกับสรรพากรพื้นที่ดอนเจดีย์แล้วว่าเป็นโรคปวดหลังจึงต้องใช้ เก้าอี้ส่วนตัวที่มีปัญหาดังกล่าว ทางสรรพากรพื้นที่อำเภอดอนเจดีย์ก็อนุญาตให้ใช้ได้นั่งทำงานได้เหมือนเดิม เพราะไม่มีระเบียบ กฎ ข้อบังคับ ข้อห้ามอันใด สิ่งใด ที่จะไม่ให้ใช้เก้าอี้ส่วนตัว รู้ตัวว่าเป็นเด็กก็อยากอยู่ในส่วนเด็กไม่อยากที่จะมีเรื่องราวกับใคร แต่ก็ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจมาตลอดทั้งโทรศัพท์ และจดหมายอิเล็กทรอนิกส์"


น.ส.รัศมีกล่าวว่า ตนเองก็ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ให้เพื่อนๆ ที่เคยทำงานที่เดียวกันได้อ่านเท่านั้นไม่รู้ว่าจดหมายดังกล่าวถูกส่งต่อไป อีกหลายต่อหลายคนรวมกระทั่งหนังสือพิมพ์ การทำงานที่ อ.ศรีประจันต์ ก็มีเรื่องกระทบกันบ้างนิดหน่อย แต่ไม่คิดว่าสมัยนี้ยังมีการแบ่งชั้นวรรณะกันอีก และไม่ได้อยากดังอะไร แต่ไม่เคยเจอเรื่องราวเหล่านี้ แล้วคนอ่านรู้สึกกับเรื่องนี้อย่างไรสามารถเป็นคำตอบแทนตนเองได้แล้ว


ผู้สื่อข่าวถามว่า จริงหรือไม่ที่มีรายงานข่าวว่าสาเหตุเพราะเป็นคนทำงานตรงไปตรงมาจึงไปทับ เส้นกับผู้ใหญ่บางคน เรื่องการจัดเก็บภาษีโดยการปรับฐานภาษีใหม่ของผู้ค้ารายหนึ่งที่อำเภอศรีประ จันต์ ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งจนเป็นที่มาของเรื่องเก้าอี้ไม่เหมาะสม น.ส.รัศมีกล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ขอพูดและให้ข้อมูล เพราะทุกอย่างจบแล้วสรุปแล้วทั้งหมด


ผู้สื่อข่าวยังได้ติดต่อไปยังสรรพากร อ.ศรีประจันต์ เพื่อติดต่อสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้รับคำตอบจากเจ้าหน้าที่ว่า น.ส.ศิริลักษณ์ สรรพากร อ.ศรีประจันต์ ที่มีบันทึกห้าม น.ส.รัศมีนำเก้าอี้ส่วนตัวมาใช้งาน ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ ไปอบรมที่จังหวัดนครปฐม และจะกลับในวันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ ส่วนเบอร์โทรศัพท์มือถือที่สามารถติดต่อได้ไม่มีเพราะที่สรรพากร อ.ศรีประจันต์ ขณะนี้มีเพียงเจ้าหน้าที่เข้ามาทำงานใหม่เพียง 2 คนเท่านั้น


ขณะที่ นายสมชาย พัฒนพงษ์ศักดิ์ สรรพากรพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี เปิดเผยว่าเรื่องดังกล่าวที่เกิดขึ้นนั้นจบไปแล้วไม่มีการติดใจเอาเรื่องราว กันทั้งสิ้น ไม่เชื่อก็ติดต่อสอบถามทั้ง 2 ฝ่ายได้เพราะตนเองได้เรียกทั้ง 2 ฝ่าย มาพูดคุยกันแล้ว เรื่องนี้ไม่มีใครผิดใครถูกทั้งนั้น เป็นเรื่องของความไม่เข้าใจกันมากกว่า แต่หน้าที่ตนก็ดำเนินการไปแล้วโดยฝ่ายหนึ่งคือ น.ส.รัศมี ขอย้ายไปทำงานอยู่ที่อำเภอดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นอำเภอใกล้เคียง


"เรื่องนี้เกิดจากความไม่เข้าใจกันก็เท่านั้นเอง ส่วนเรื่องการส่งต่อด้วยจดหมายอิเล็กทรอนิกส์นั้นเกิดจากทาง น.ส.รัศมี ได้ส่งบันทึกข้อความไปให้เพื่อนได้ดูและมีการส่งต่อไปอีกเป็นจำนวนมาก และมีการมาขอโทษเรื่องนี้แล้วเพราะเกรงหน่วยงานจะได้รับผลกระทบด้วย ผมว่าผมไม่จำเป็นต้องคุยอีกเพราะว่าทุกอย่างจบแล้วทั้งคู่พอใจแล้ว" นายสมชายกล่าว


รายงานข่าวจากรมสรรพากรแจ้งว่า การทำงานในส่วนราชการจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกเบื้องต้นให้กับข้าราชการอยู่ แล้ว ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ ส่วนใครจะจัดหาอะไรเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับตัวเอง ไม่ได้มีระเบียบห้ามไว้ ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นที่สรรพากร อ.ศรีประจันต์ ที่มีการให้ย้ายเก้าอี้ส่วนตัว คาดว่าน่าจะเป็นมุมมองความคิดเห็นส่วนบุคคลมากกว่า เบื้องต้นทราบว่าบุคคลที่ถูกสั่งให้ย้ายเก้าอี้ส่วนตัวออกไปนั้น ได้ขอย้ายตัวเองไปอยู่ที่สรรพากร อ.ดอนเจดีย์ เรียบร้อยแล้ว โดยให้เหตุผลว่าใกล้บ้านและสะดวกในการเดินทางมากกว่า


"เรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณ 3 สัปดาห์แล้ว ที่มีการพูดกัน แต่ 2-3 วันก่อนมีการโพสท์ข้อมูลขึ้นในเว็บภายในของกรมสรรพากร ทำให้รู้กันมากขึ้น และมีการวิพากษ์วิจารณ์กัน แต่เข้าใจว่าน่าจะเป็นเรื่องส่วนบุคคลมากกว่า ที่มองว่าเก้าอี้เหมือนกับสมุห์บัญชีอำเภอ ทำให้ชาวบ้านเข้าใจผิด เพราะระเบียบราชการก็ไม่ได้ห้ามไว้" แหล่งข่าวระบุ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบันทึกที่ น.ส.รัศมี ทำถึงสรรพากรพื้นที่สาขาศรีประจันต์ เป็นหนังสือเลขที่ กต.0710.0306 ลงวันที่ 14 มกราคม 2553 เรื่องขอความชัดเจนเกี่ยวกับการนำเก้าอี้นั่งส่วนตัวมานั่งทำงานในสถานที่ ราชการ  ปรากฏว่า น.ส.ศิริลักษณ์ได้ตอบกลับมาเป็นลายมือเขียนในท้ายบันทึกใจความว่า  "คุณรัศมี เก้าอี้ตัวนี้ไม่เหมาะสมสำหรับคุณ เนื่องจากมองดูแล้วมันเทียบเสมอเท่าสรรพากรอำเภอศรีประจันต์ ผู้เสียภาษีหรือประชาชนที่มาติดต่องานมองดูแล้วสับสนไม่ทราบว่าใครเป็นหัว หน้าหน่วยงาน ให้นั่งเก้าอี้ของสำนักงาน เรื่องปวดหลังก็ให้รักษาสุขภาพของตนเองโดยการไปพบคุณหมอ ลงชื่อศิริลักษณ์ 18 มกราคม 2553"

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1267023241&grpid=&catid=04

ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
http://www.isriya.com/node/2809
/wordcamp-bangkok-2009-pool-party
C:\Documents and Settings\user\My Documents\ไฟล์ที่ได้รับของฉัน\issarachon1101.wma
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=hiansoon

ผู้ติดตาม

คลังบทความของบล็อก

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
http://facthai.wordpress.com/ ต้องรู้เท่าทันในการรับรู้ข่าวสารจากทุกแหล่งข่าว/ FACT - Freedom Against Censorship Thailand กลุ่มเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์แห่งประเทศไทย http://facthai.wordpress.com/ http://twitter.com/jiew