"เชิญชวนทุกท่านร่วมสร้างสรรค์กฎหมายเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน"

อินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน
Blognone
Share |

Suthichai Online - ข่าวประจำวัน

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

6 ต้นแบบ พลังงานทดแทน สะกิดเอสเอ็มอีไทย ใคร ๆ เขาก็ทำ

วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4195  ประชาชาติธุรกิจ


6 ต้นแบบ พลังงานทดแทน สะกิดเอสเอ็มอีไทย ใคร ๆ เขาก็ทำ





เรา เริ่มพูดถึงเรื่องพลังงานทดแทนกันมาหลายปีแล้ว จากวัตถุดิบในท้องถิ่นบ้านเรา ที่เคยเห็นว่าเป็น "ขยะ" แต่ขณะนี้ขยะเหล่านี้อาจจะช่วยลดต้นทุนในชุมชน วิสาหกิจชุมชน โอท็อป ให้มีต้นทุนต่ำ รวมทั้งโรงงานผลิตที่ตั้งอยู่ในบริเวณแหล่งของสินค้าการเกษตร หรือเป็นโรงงานอุตสาหกรรมที่มีเศษวัสดุเหลือใช้อย่างเช่น ขวดพลาสติก เศษยางรถยนต์ จำนวนมากเหล่านี้ได้กลายเป็นการลงทุน ที่คุ้มค่า เมื่อนำกลับมาแปรรูปแบบใหม่กลายเป็นพลังงานทดแทนในวันนี้

"ประชา ชาติธุรกิจ" รวบรวม 6 รูปแบบของการผลิตพลังงานทดแทน ที่เป็นความร่วมมือกันของภาคเอกชน และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) ที่เคยให้การสนับสนุนให้แต่ละโมเดลของต้นแบบการผลิตพลังงานทดแทนให้เกิดขึ้น ได้จริงวันนี้

รูปแบบของเทคโนโลยีทั้ง 6 มีมูลค่าตั้งแต่ล้านต้น ๆ ไปถึง 10 ล้านบาทขึ้น โดยมีนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เป็นผู้ให้การสนับสนุน เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีวัตถุดิบอยู่แล้วนำไปพัฒนาต่อเพื่อลดต้นทุน หรือในอีกมุมหนึ่งสำหรับธุรกิจเดิม อาจจะสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ นวัตกรรมใหม่ ๆ ในการใช้พลังงานทดแทน เจาะลงสู่ชุมชนวิสาหกิจ ต่อยอดให้ชุมชนเป็น ผู้ผลิต เกิดการสร้างโปรดักต์ใหม่ ๆ โดยต้นทุนไม่แพงเหมือนการใช้พลังงานไฟฟ้าทั่วไปก็เป็นได้

ทั้ง 6 โครงการมาจากการใช้เศษยาง เศษพลาสติก และเศษอาหาร มาแปรรูปเป็นพลังงานได้อย่างน่าสนใจ แทนที่เราจะนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศซึ่งมีมูลค่าหลายล้านบาท แต่เทคโนโลยีในบ้านเรา เราคิดเอง ทำเอง นอกจากจะต้นทุนต่ำแล้ว ผลิตภัณฑ์ที่ออกมายังมีโอกาสพัฒนาไปได้อีกมากมาย เหมาะกับความต้องการในบ้านเราอย่างแท้จริง

เศษยางรถยนต์ นี่แหละตัวจริง

โครงการ ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงจากเศษยาง ของบริษัท รีนิวอเบิลเอ็นเนอร์ยี่ จำกัด เป็นกระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์เพื่อพัฒนาต้นแบบการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงจาก เศษยางรถยนต์ ด้วยกรรมวิธีไพโรไลซิส (pyrolysis) โดยนำเทคโนโลยีที่ได้จากการทดลองในระดับห้องปฏิบัติการมาพัฒนาขยายผลระดับ ต้นแบบ ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้คือ "น้ำมันเชื้อเพลิง" ที่สามารถใช้ทดแทนน้ำมันเตาและน้ำมันดีเซล สำหรับการใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมได้ มีการลงทุนที่ 7,653,500 บาท โดยมีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือเป็นผู้ให้คำปรึกษาทางด้าน เทคโนโลยี

โครงการเตาเผาแก๊สซิไฟเออร์แบบ V-Shaped Cross-Draft ของบริษัท ธรรมสรณ์ จำกัด เป็นผลิตภัณฑ์เตาเผาแก๊สซิไฟเออร์ เพื่อหม้อกำเนิดไอน้ำขนาด 6 ตันไอน้ำ โดยการออกแบบเตาปฏิกรณ์แบบ V-Shaped Cross-Draft ซึ่งใช้ยางรถยนต์เก่าหรือชีวมวลเป็นเชื้อเพลิง รวมทั้งมีระบบป้อนเชื้อเพลิงและถ่ายเถ้าออกโดยอัตโนมัติ และระบบบำบัดมลพิษทางอากาศก่อนปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อม มูลค่าการลงทุน 10,645,000 บาท

พลาสติกก็ทำได้

โครงการการกำจัดขยะ และผลิตเชื้อเพลิงจากขยะพลาสติก เป็นของบริษัท ดูไวย์ เอเชีย จำกัด เป็นกระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์ของการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงจากขยะพลาสติกด้วย เทคโนโลยีการกลั่นแบบอับอากาศ หรือไพโรไลซิส โดยมีการใช้ขยะพลาสติก 4 ตันต่อวัน สามารถผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงได้ประมาณ 2,800 ลิตรต่อวัน หรือ 897,000 ลิตรต่อปี มีการลงทุนไปราว 6,283,000 บาท มีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานครเป็นผู้สนับสนุนทางด้านเทคโนโลยี

โครงการระบบผลิตน้ำมันและไฟฟ้าด้วยกระบวนการไพโรไลซิส-แก๊สซิฟิเคชั่น โดยบริษัท พร้อมมาก จำกัด

เป็น กระบวนการเปลี่ยนขยะพลาสติกที่ติดไฟได้เป็นพลังงานไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิง ด้วยกระบวนการไพโรไลซิส- แก๊สซิฟิเคชั่น (pyrolysis-gasification) โดยการควบคุมสัดส่วนของอากาศและอุณหภูมิในห้องเผาไหม้ให้เกิดปฏิกิริยาได้ ตามทฤษฎี ระบบนี้ใช้วัตถุดิบหลักเป็นพลาสติกที่นำกลับมาเปลี่ยนเป็นพลังงานได้ และยังลดปัญหาขยะที่กำจัดไม่ทันได้อีกด้วย มีมูลค่าในการลงทุน 10,000,000 บาท มีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีเป็นผู้ให้การสนับสนุน

ขยะเศษอาหารก็ได้ ไม่แพง

สุด ท้ายแม้แต่ขยะในครัวเรือนที่คนในชุมชนทิ้งกัน ก็สามารถนำไปแปลงเป็นพลังงานได้เหมือนกัน เช่นเดียวกันกับโครงการเตาเผาขยะไร้มลพิษประหยัดพลังงาน บริษัท เชียงใหม่ เอ็นไวรอนเม้นท์ โปรเทค จำกัด เป็นผู้คิดผลิตภัณฑ์เตาเผาขยะชุมชนขนาดเล็ก (2 ตันต่อวัน) โดยอาศัยหลักการเผาไหม้แบบกระบวนการแก๊สซิฟิเคชั่น (gasification) แทนกระบวนการเผาไหม้โดยตรง ซึ่งกระบวนการนี้จะได้ผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่าก๊าซสังเคราะห์ สามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิง ทดแทนการใช้เชื้อเพลิงจากก๊าซหุงต้มลงได้ มูลค่าการลงทุน 1,551,000 บาท มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เขตพื้นที่พายัพเชียงใหม่ เป็นผู้ให้การสนับสนุนทางด้านวิชาการ

และ โครงการระบบผลิตก๊าซเชื้อเพลิงร่วมจากเตาแก๊สซิไฟเออร์ชีวมวลและก๊าซชีวภาพ ของบริษัท กรีน เอ็นเนอร์ยี่ เน็ทเวอร์ค จำกัด เป็นกระบวนการผลิต ก๊าซเชื้อเพลิงทดแทน LPG ในลักษณะ ผสมผสาน (hybrid) ของระบบผลิตก๊าซชีวมวลด้วยเทคโนโลยีก๊าซซิฟิเคชั่น แบบ downdraft gasifier กับระบบผลิตก๊าซชีวภาพจากขยะเศษอาหาร มูลค่าการลงทุน 2,460,000 บาท

วันนี้ เรื่องของพลังงานทดแทนไม่ใช่เรื่องที่เราพูดกันปากเปล่า แต่ภาคเอกชนบางส่วนที่เริ่มเห็นโอกาสก็ไม่เสียเวลาที่จะทดลอง ลงมือทำเครื่องต้นแบบ ผลิตภัณฑ์ต้นแบบ และคอยมองหาโอกาสใหม่ ๆ ที่ไม่ใช่การขายในประเทศเท่านั้น แต่ประเทศเพื่อนบ้านเราซึ่งก็ยังมีโอกาสอีกมากมายรออยู่


หน้า 44
http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02biz01250353&sectionid=0214&day=2010-03-25

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/tu_council/record/nopporn.htm
http://www.visalo.org/

เปิด ข้อมูลใหม่"วรเจตน์ ภาคีรัตน์ " ความหวังสุดท้าย"ทักษิณ" หวังพลิกคดียึดทรัพย์




วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 18:19:01 น.  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

เปิด ข้อมูลใหม่"วรเจตน์ ภาคีรัตน์ " ความหวังสุดท้าย"ทักษิณ" หวังพลิกคดียึดทรัพย์

"ฉัตรทิพย์ ตัณฑประศาสน์" ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เผยว่า ใช้ความเห็นของ ดร.วรเจตน์ ภาครัตน์ เป็นหนึ่งในข้อมูลใหม่ และมั่นใจว่า ข้อมูลใหม่ ของ ดร. วรเจตน์ จะพลิกคดี ยึดทรัพย์ได้ "ประชาชาชาติธุรกิจ"สัมภาษณ์ อาจารย์คนดัง เรื่องข้อมูลใหม่

      26 ก.พ. ศาลฎีกาฯ อ่านคำพิพากษา คดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้าน ใช้เวลาอ่านคำพิพากษา 187 หน้า  7 ชั่วโมง 
  หลัง คำพิพากษา แพร่ออกไป คนส่วนใหญ่ เชื่อว่า ทักษิณ สงสัยจะทุจริตเชิงนโยบายจริงๆ
  แต่ อาจารย์ วรเจตน์ ภาคีรัตน์ และพวก รวม 5 คนจาก สำนักท่าพระจันทร์ ไม่เชื่อเช่นนั้น
   พวกเขา ออกบทวิเคราะห์ 32 หน้ากระดาษ ซึ่งคาดว่า ทีมทนายทักษิณ น่าจะลอกเอาไปใส่ในอุทธรณ์
  " ประชาชาติธุรกิจ" สัมภาษณ์ อาจารย์ วรเจตน์  ในเรื่อง ข้อมูลใหม่ ในคดียึดทรัพย์ อยากรู้รีบอ่านโดยพลัน
     @  ผมเห็นไม่ตรงกับ อาจารย์สมเกียรติ
   ในส่วนเนื้อหาที่ว่าเป็นการกีดกันผู้ประกอบการรายใหม่หรือไม่นั้น ช่วงที่ผ่านมาเป็นการพูดมุมเดียว ไม่มีการถามคนที่ประกอบกิจการในตลาดที่มีความรู้เรื่องนี้ว่ามุมมองเรื่อง นี้เป็นอย่างไรและวิเคราะห์รอบด้านหรือไม่  ผมเห็นไม่ตรงกับ อาจารย์สมเกียรติ (ตั้งกิจวานิชย์ )ในส่วนเรื่องการกีดกันและเอื้อประโยชน์ในส่วนโทรคมนาคม
   เพราะดูจากตัวสัญญาระหว่างบริษัทมือถือต่างๆ ที่ทำกับรัฐวิสาหกิจของรัฐและในส่วนกฎหมายที่ออกมา วัตถุประสงค์ของภาษีสรรพสามิต ยังไม่พบว่าเป็นการกีดกันรายใหม่แต่อย่างใด เรื่องต้นทุนการประกอบกิจการก็ไม่น่าจะมีผลเป็นการกีดกัน เพราะเมื่อเปรียบเทียบรายใหม่กับรายเก่าแล้ว ต้นทุนในส่วนที่จะต้องชำระส่วนแบ่งรายได้ให้กับรัฐเมื่อเปรียบเทียบกับราย ใหม่ที่จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมบวกกับภาษีสรรพสามิตด้วย ของรายเก่าก็สูงกว่าอยู่ดี
    @ ต้องเข้าใจ โครงสร้างกิจการโทรคมนาคมแบบไทยๆ
    อันที่จริงประเด็นเกี่ยวกับภาษีสรรพสามิตในกิจการโทรคมนาคมมีสองเรื่องใหญ่ๆ คือ คือ 1 การออกพระราชกำหนดภาษีสรรพสามิตในสมัยรัฐบาลคุณทักษิณทำให้รัฐเสียประโยชน์ หรือไม่ 2 กีดกันผู้ประกอบการรายใหม่หรือไม่ เราจะเข้าใจประเด็นเหล่านี้ไม่ได้ถ้าไม่มองภาพรวมธุรกิจโทรคมนาคมในประเทศ ไทย
 
   ปัญหาในบ้านเรามันพิสดารไม่เหมือนที่ไหนในโลก เรื่องการให้สัมปทานนั้นเกิดขึ้นก่อนที่คุณทักษิณ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) เข้ามาเป็นนายกฯ ซึ่งปกติเวลาจะให้สัมปทาน รัฐควรจะเป็นหน่วยเดียวที่เป็นเอกภาพ แล้วให้สัมปทานเอกชนหรือให้เอกชนเข้าร่วมการงาน
    แต่ของไทยเรามีรัฐวิสาหกิจ 2 แห่งที่แยกกัน คือ 1) องค์การโทรศัพท์ ให้สัมปทานโทรศัพท์มือถือแก่ เอไอเอส ซึ่งเป็นรายแรกที่เข้าสู่ตลาด ในขณะที่ 2) การสื่อสารแห่งประเทศไทยให้สัมปทานโทรศัพท์มือถือกับดีแทคและ ทรูมูฟ
      เมื่อเอไอเอสเป็นคู่สัญญาโดยตรงกับองค์การโทรศัพท์ ก็ต้องจ่ายค่าสัมปทานให้องค์การโทรศัพท์ซึ่งมีโครงข่ายเป็นของตนเองและเป็น โครงข่ายหลักในประเทศ ขณะที่ดีแทคและทรูมูฟซึ่งทำสัญญากับการสื่อสารฯและต้องจ่ายค่าสัมปทานให้กับ การสื่อสารนั้น จะต้องเชื่อมต่อโครงข่ายขององค์การโทรศัพท์ และด้วยเหตุนี้ทั้งสองบริษัทจึงมีต้นทุนการประกอบการอีกส่วนหนึ่งซึ่งเอไอ เอสไม่มี คือ ค่าเชื่อมต่อโครงข่าย ผลจากการนี้จึงทำให้ต้นทุนการประกอบการของบริษัทเหล่านี้ไม่เท่ากันตั้งแต่ แรก
     พูดง่ายๆทำให้ ดีแทคกับทรูมูฟ มีต้นทุนสูงกว่า เพราะนอกจากจะจ่ายค่าสัมปทานให้การสื่อสารฯแล้วยังต้องจ่ายค่าเชื่อมต่อโครง ข่าย ให้กับองค์การโทรศัพท์อีกด้วย อันนี้คือประเด็นที่เป็นผลจากภาครัฐเองในแง่การให้สัมปทาน
        ในเวลาต่อมามีการแปรรูปองค์การโทรศัพท์เป็นบริษัท ทีโอที มีการแปรรูปการสื่อสารเป็นบริษัท กสท. โทรคมนาคม ซึ่งมีการเปลี่ยนทุนเป็นหุ้น และกระทรวงการคลังถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่าในอนาคตหากมีการนำบริษัทสองบริษัทนี้เข้าตลาดหลักทรัพย์ ก็จะต้องขายหุ้นให้ผู้อื่นเข้ามาถือ
    ประเด็นคือ ตอนแปรรูปทั้ง 2 หน่วยงานให้เป็นบริษัท ทั้ง 2 หน่วยงานยังได้สืบสิทธิตามสัญญาสัมปทานเดิมต่อไป นั่นคือทั้งทีโอทีและ กสท.โทรคมนาคมยังได้ส่วนแบ่งรายได้จากการประกอบการของเอไอเอส ดีแทคและทรูมูฟไปตลอดอายุสัมปทาน ทั้งสองบริษัทสามารถที่จะนำเงินส่วนแบ่งไปใช้จ่ายได้ก่อน เหลือแล้วจึงส่งกระทรวงการคลัง
       รัฐบาลในขณะนั้นได้แก้ปัญหาดังกล่าวนี้โดยการออกพระราชกำหนดภาษีสรรพสามิต โดยผลของการออกพระราชกำหนดดังกล่าว ประกอบกับประกาศกระทรวงการคลังและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้บริษัทเอกชนคู่สัญญาคือเอไอเอส ดีแทค และทรูมูฟ ต้องส่งมอบส่วนแบ่งรายได้ 10 เปอร์เซนต์เข้ากระทรวงการคลังโดยตรง ส่วนอีก 15 เปอร์เซ็นต์ จ่ายให้คู่สัญญาของตน คือ ทีโอที ดีแทค และทรูมูฟ เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นว่าเอไอเอส ไม่ได้จ่ายน้อยลง เพราะยังจ่าย 25 เปอร์เซ็นต์เหมือนเดิม 
  @ ผมไม่เห็นว่ารัฐเสียประโยชน์ หรือ เอื้อ เอไอเอส.
        ประเด็นที่ว่ารัฐเสียประโยชน์หรือไม่นั้น ผมไม่เห็นว่าเสียประโยชน์เพราะเป็นเพียงการแก้ปัญหาสัมปทาน ในระหว่างที่ยังไม่มีการแปรรูป ส่วนเอื้อประโยชน์แก่เอไอเอส เพราะมีผลเป็นการกีดกันรายใหม่หรือไม่นั้น ถ้าสมมติว่าภาษีสรรพสามิต 10 เปอร์เซ็นต์นี้ยังอยู่ ถามว่า จะเป็นการกีดกันรายใหม่เข้าสู่ตลาดหรือไม่ ซึ่งเราต้องเข้าใจว่ารายใหม่ที่เข้าสู่ตลาด จะไม่สามารถเข้าทำสัญญากับหน่วยงานรัฐได้อีกแล้ว เพราะไม่มีองค์การโทรศัพท์และการสื่อสารฯ แล้ว แต่หน่วยงานทั้งสองได้กลายเป็นทีโอทีกับ กสท. โทรคมนาคมซึ่งไม่มีอำนาจให้สัมปทานอีกแล้ว  แต่จะเข้าสู่ตลาดโดยการได้รับใบอนุญาตซึ่งแม้ว่าจะมีภาษีสรรพสามิต 10 เปอร์เซ็นต์ ต้นทุนของผู้ประกอบการรายใหม่ก็ยังต่ำกว่าผู้ประกอบการรายเดิมอยู่ดี
       อำนาจในการอนุญาตให้การประกอบกิจการจะอยู่ที่องค์กรอิสระในทางปกครองที่ตั้ง ขึ้นใหม่ คือ กทช. เมื่อรายใหม่เข้าสู่ตลาด ต้องขออนุญาตที่ กทช. ไม่ใช่ทำสัญญาสัมปทาน ซึ่งรายใหม่ จะมี ต้นทุนที่ให้กับรัฐซึ่งต่ำกว่าผู้ประกอบการรายเดิม อย่างไรก็ตามโดยที่รายใหม่ยังไม่มีฐานลูกค้า
    ฉะนั้น ยังไม่แน่ใจจะเกิดรายใหม่ได้สักเท่าไหร่ถ้าเทียบกับสัมปทานอันเดิม
    แต่ประเด็น อยู่ที่ว่า เราต้องทำให้สภาพ สามารถแข่งขันกันได้ แต่ถามว่าเป็นการกีดกัน หรือไม่นั้น  ผมคิดว่าไม่ อย่างน้อยดูจากต้นทุนก็ไม่ใช่การกีดกัน แต่โอกาสแย่งลูกค้าต้องไปพิสูจน์กันในทางตัวเลข
  @อย่ามองข้าม ... มุมมองของผู้บริโภค  
  ส่วนสาเหตุที่ยังไม่มีรายใหม่เข้าสู่ตลาดที่ผ่านมา เป็นปัญหาจากกฎหมายโทรคมนาคม ซึ่งไม่เกี่ยวกับภาษีสรรพสามิต คือคนที่มีอำนาจออกใบอนุญาตคือ กทช. ซึ่งผมเห็นว่า กทช.มีอำนาจทำได้ แต่ยัง มีปัญหาที่นักกฎหมายจำนวนหนึ่งเถียงกันอยู่ว่า กทช. ไม่มีอำนาจ เพราะยังไม่ได้ตั้ง กสช. ประเด็นคือ รัฐเองตั้ง กสช.ไม่ได้ เมื่อไม่มี กสช. จึงไม่มีคณะกรรมการร่วมมากำหนดแผนแม่บทคลื่นความถี่แห่งชาติ ทำให้เถียงกันว่าเมื่อยังไม่มีแผนแม่บทคลื่นความถี่แห่งชาติ กทช.จะออกใบอนุญาตได้หรือไม่ ดังนั้นไม่ใช่ประเด็นเรื่องภาษีสรรพสามิต แต่เป็น ประเด็นเรื่องอำนาจ กทช.ในการออกใบอนุญาต ซึ่งเป็นปัญหาของหน่วยงานของรัฐเองหรือการบริหารงานภาครัฐ ที่คุณตั้ง กสช. ไม่ได้ ทำให้ต้องมาถกเถียงกันถึงอำนาจของ กทช.
     ตอนที่ผมดูเรื่องโทรคมนาคม ผมมองจากมุมมองของผู้บริโภค ผมมองจากประสบการณ์ผมในการใช้โทรศัพท์มือถือและโทรศัพท์บ้าน เมื่อก่อนนี้ยากเย็นมากในการขอเบอร์โทรศัพท์บ้าน แต่ต้องยอมรับว่าระบบตอนนี้มันดีขึ้นมากเลยเมื่อให้เอกชนเข้ามาลงทุนและยิ่ง ดีขึ้นเมื่อมีการแข่งขันกัน แต่การแข่งขันกันตอนนี้จริงๆ ยังไม่เต็มประสิทธิภาพ เพราะเหตุผลเรื่องโครงสร้างระบบของรัฐมันยังไม่ดี แต่ดีกว่าให้รัฐกุมอำนาจผูกขาดแล้วบริหารกันไปในองค์การโทรศัพท์ เพราะโดยโครงสร้างของตัวระบบรัฐต้องสนับสนุนเงินลงทุน ด้วยเหตุนี้ เขาจึงให้เอกชนเข้ามาลงทุน เข้ามาทำสัญญา แล้วมันจะส่งผลทำให้เกิดการแข่งขันกัน โทรศัพท์ก็เข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น
      ประเด็นคือ บริษัทพวกนี้จะได้กำไรจากการประกอบการ ซึ่งบริษัทในโลกนี้ทุกบริษัท เวลาประกอบกิจการก็ต้องทำกำไร เป็นเรื่องปกติ เพราะจะอยู่ไม่ได้หากไม่มีกำไร แต่การมุ่งหวังผลกำไรก็ต้องมุ่งหวังจากการแข่งขันกันกับคนอื่น กลไกตลาดก็จะช่วย รัฐก็ต้องดูกลไกตลาดต้องสร้างความสมดุล แต่ไม่ใช่ไปจัดการทุกเรื่องหรือไปคุมจนกลไกตลาดมันเป็นไปไม่ได้ ซึ่งอันนี้ต้องดูให้รอบด้านและดูจากมุมมองผู้บริโภคด้วย ซึ่งคนบริโภคเขามุ่งหวังประสิทธิภาพจากการบริการ และค่าบริการที่ต่ำที่สุด ทีนี้วันนี้เงินค่าสัมปทานส่วนหนึ่งต้องส่งเข้าทีโอทีหรือ ทศท.โทรคมนาคม เพื่ออะไร
    @ ถ้าคุณจะเก็บภาษีจากตรงนี้ คุณเก็บเข้าคลังไป(เถอะ)
     ถ้าคุณจะเก็บภาษีจากตรงนี้ คุณเก็บเข้าคลังไปเถอะ (ผมไม่มีปัญหาอะไรเลยนะ)    แล้วคุณปล่อยให้ TOT กับ CAT  (กสท.โทรคมนาคม) แข่งกันกับคนอื่นเขาอย่างเต็มที่ มันต้องดูประสิทธิภาพการบริหารงานของหน่วยงานเหล่านี้ บัดนี้ ระยะเวลาที่จะผูกขาดโดยรัฐมันผ่านพ้นไปแล้ว
    ผมก็เสียใจกับพนักงานที่ทำงานในองค์การโทรศัพท์กับการสื่อสาร ว่า เขาไม่ใช่รัฐวิสาหกิจที่มีอำนาจของรัฐอีกแล้ว เขากลายเป็นผู้ให้บริการที่ต้องแข่งกับบริษัทเอกชนรายอื่นและการแข่งขันนี้ หากมันไม่มีประสิทธิภาพ คุณแข่งสู้เขาไม่ได้คุณก็จะแก่วง ที่สุดก็ต้องออกจากตลาด ก็เหมือนกับบริษัทที่เข้าสู่ตลาด ถ้าผมจะทำธุรกิจโทรคมนาคมวันนี้ ผมต้องแข็งแรงพอที่จะแข่งขันกับเขาได้นะ ซึ่งหมายถึงผมต้องมีบริการที่ดีให้แก่คนที่เป็นผู้ใช้บริการ ต้องตั้งฐานลูกค้า ต้องมีแคมเปญต่างๆ ต้องคิดการต่อสู้เพื่อให้ได้ซึ่งลูกค้าและการรักษาฐานลูกค้านี่คือการต่อสู้ ทางธุรกิจ
  @  แย้งศาลฎีกาฯ กรณี pre -paid
    กรณีการทำ pre paid ว่า เดิมทีแอคเซสชาร์จ จ่าย 200 บาทต่อเบอร์ ซึ่งดีแทคกับทรูมูฟมีภาระตรงนี้ เป็นเหตุผลว่าทำไมกำไรของเอไอเอสจึงเยอะ เพราะว่าต้นทุนเขาน้อยกว่า คือเป็นปัญหามาตั้งแต่แรกในการเข้าสู่ตลาดที่ไม่พร้อมกันและอันนี้จะไปโทษเอ ไอเอสก็ไม่ได้เพราะเขาเข้าสู่ตลาดโดยทำสัญญากับองค์การโทรศัพท์ก่อน
     พอตอนที่ดีแทคทำ pre-paid คือโทรศัพท์ที่ต้องจ่ายก่อน เป็นการซื้อบัตรเติมเงิน เขาก็พบว่าหากเป็นแบบนี้เขาจะประกอบกิจการนี้ไม่ได้แน่ เพราะคนใช้ pre-paid ปกติคือคนซึ่งฐานะทางเศรษฐกิจอาจจะไม่ดี เพราะอาจซื้อบัตรทีละ 50-100 บาท โดยหากเดือนไหนใช้ไม่ถึง 200 บาท เขาก็ขาดทุนแน่ๆ เพราะต้องจ่ายแอคเซสชาร์จทุกเดือน ดีแทคจึงขอแก้สัญญาขอลดราคาแอคเซสชาร์จ คุยไปคุยมาก็มีการลดให้เพื่อให้เขาแข่งขันได้
     พอ เอไอเอส เห็นว่าดีแทคมีการขอแก้ไขได้ ก็ขอแก้ไขบ้าง แต่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯบอกว่าไม่เกี่ยวกัน ซึ่งผมเห็นว่า ตรงนี้ฟังได้ ศาลบอกว่า เอไอเอสไม่มีค่าแอคเซสชาร์จ แล้วจะมาขอลดได้อย่างไร
        ทีนี้เมื่อมันไม่เกี่ยวกัน ก็คงต้องมองว่านั่นเป็นเพียงข้ออ้างของเอไอเอสที่จะเริ่มกระบวนการแก้ไข สัญญา การขอแก้ไขเป็นเรื่องธุรกิจ เหตุที่เอไอเอสขอแก้เป็นคนละเรื่องกับผล แล้วในการพิจารณาเหตุให้แก้ เหตุผลที่องค์การโทรศัพท์ยอมให้แก้อาจจะเป็นอีกอย่างหนึ่งก็ได้ ถ้ามองจากมุมขององค์การโทรศัพท์ ถ้าแก้ไขแล้วรัฐไม่ได้เสียประโยชน์และผู้บริโภคได้ประโยชน์ ก็แก้ได้ คือสัญญาเป็นเรื่องแก้กันได้
     แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นว่า คนไม่กล้าแก้สัญญา เพราะกลัวว่าแก้แล้วจะเป็นปัญหาไปหมด นี่เป็นปัญหาจากการบริหารราชการ เมื่อเอไอเอสขอแก้ คณะกรรมการองค์การโทรศัพท์ (ทศท.) บอกว่า ถ้าจะแก้ ต้องไปลดราคาค่าบริการให้แก่ผู้บริโภค ซึ่งเอไอเอส ยอมจ่ายตรงนี้น้อยลง แล้วไปลดราคาให้แก่ผู้บริโภค เขาก็ไปทำจริง มีค่าโทรลดลงช่วงหนึ่ง เพราะเอไอเอสจ่ายส่วนแบ่งให้ทีโอทีลดลง เขาจึงสามารถลดราคาให้ผู้บริโภคได้ เมื่อลดราคาก็มีการแข่งขันในตลาด กลไกในตลาดก็เดิน แม้เป็นกลไกที่เอไอเอสยังได้เปรียบอยู่ เพราะเป็นผลพวงจากรัฐที่แบ่งรัฐวิสาหกิจเป็น 2 แห่ง ซึ่งไปโทษฝ่ายเอกชนไม่ได้ จะต้องดูภาพสมมติฐานปัญหาก่อน
      ถามว่า เอไอเอสลดราคา แล้วทำให้องค์การโทรศัพท์หรือปัจจุบันคือทีโอทีเสียประโยชน์ไหม คำตอบคือ ไม่เสีย เพราะหลังจากลดไปเหลือ 20 เปอร์เซ็นต์แล้วทำให้ฐานลูกค้าเอไอเอสมากขึ้น มีรายได้จากการประกอบการมากขึ้น ทำให้ส่งส่วนแบ่งรายได้ให้ทีโอทีมากขึ้น ในภาพรวมจึงได้ส่วนแบ่งรายได้มากกว่าเดิม เป็นแบบนี้ทีโอทีไม่ได้เสียประโยชน์
    @ ศาลฎีกา อ้างวิจัย ทีดีอาร์ไอ. ?
      ผมดูจากน้ำหนักของศาล ในคำพิพากษา ศาลให้น้ำหนักกับประเด็นของ อาจารย์สมเกียรติ อ้าง"อาจารย์สมเกียรติ"  และบอกว่าอาจารย์สมเกียรติทำวิจัยต่างๆ แต่อีกด้านหนึ่ง ก็ปรากฏข้อเท็จจริงเกี่ยวกับส่วนแบ่งรายได้ของทีโอทีในคำพิพากษา นี่เป็น fact นี่เราไม่ได้เถียงเรื่องข้อเท็จจริงเลยนะครับ เพราะข้อเท็จจริงตรงกัน ศาลเองก็ยอมรับว่าทีโอทีได้ประโยชน์มากขึ้น แต่ศาลก็บอกว่า เมื่อทีโอทีได้ประโยชน์มากขึ้น ทำให้เอไอเอสก็ได้ประโยชน์มากขึ้นด้วย ลูกค้าก็มากขึ้น ซึ่งความจริงแล้วการที่ลูกค้ามากขึ้นเป็นเรื่องปกติในทางธุรกิจของตลาด และการขยายตัวของโทรคมนาคมยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว เป็นจุดที่คนยังต้องการใช้ไม่ใช่เรื่องประหลาด แต่การแก้ไขดังกล่าวทีดอทีไม่ได้เสียประโยชน์มิหนำซ้ำได้ประโยชน์มากขึ้น เอไอเอสก็ได้ประโยชน์ และผู้บริโภคก็ได้ประโยชน์ด้วย เพราะราคาค่าโทรศัพท์ถูกลง
    @   วรเจตน์  มองไม่เห็นอำนาจเบ็ดเสร็จของทักษิณ (หรือ) ???    ผมคิดว่าความคิดแบบนี้อันตราย ถ้าเราใช้ "ความเชื่อ" ลงโทษคน จะเกิดอะไรขึ้น เช่น เชื่อว่าคนขี้ยาฆ่าข่มขืนผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ความจริงเขาอาจจะไม่ได้ทำ แต่คนเชื่อว่ามันฆ่าข่มขืนก็ให้ประหารชีวิตมันไป   ผมเชื่อในหลักการ และอยากจะบอกแบบนี้ว่า ภายใต้การต่อสู้ทางการเมืองที่มีกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองจำนวนมากเข้า ร่วมวงต่อสู้ กลุ่มผลประโยชน์ทุกกลุ่มต่างต้องการช่วงชิงชัยชนะให้กับตัวเอง การต่อสู้ก็มีวิธีการหลายวิธี เช่น การโฆษณาชวนเชื่อ การให้ข้อมูลด้านเดียว การให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน  ต่างๆ เหล่านี้ทำกันมา คนคนหนึ่งอาจจะทำ 5 เปอร์เซ็นต์ แต่ผลของการโฆษณาชวนเชื่ออาจจะทำให้คนเชื่อว่าไอ้หมอนี่ทำ 90 เปอร์เซ็นต์ แต่ความเชื่อนั้นใช้ไม่ได้ในทางกฎหมาย ถ้าคุณจะเชื่ออย่างไรนั้นก็ว่ากันทางการเมือง   ถ้าคุณอยากจะยึดทรัพย์คุณทักษิณ คุณรัฐประหารล้มเขาแล้ว คุณออกประกาศยึดไปเลย ส่วนในอนาคตถ้าเขาจะกลับมาจะนิรโทษกรรมอะไร ก็เป็นเรื่องในอนาคตข้างหน้า แต่ถ้าจะใช้กระบวนการทางกฎหมาย ก็ต้องมีเหตุผล   ผมกำลังจะบอกว่า เรากำลังเอา 2 เรื่อง มาปนกัน เพราะการรัฐประหาร มันเป็นเรื่องอำนาจ เป็นเรื่องปืน รถถัง มันเถื่อนเพราะมันไม่จำเป็นต้องให้เหตุผล แต่กระบวนการยุติธรรม กระบวนการตามกฎหมาย มันใช้เหตุผล มันมีหลัก ใช้ความเชื่อไม่ได้ ถ้าไม่อย่างงั้น ก็ไม่ต้องเรียนวิชานิติศาสตร์ ไม่อย่างงั้นผมก็ไปเรียนวิชายิงปืนสิ ผมจะมาเรียนกฎหมายทำไม และถ้าผมเชื่อว่าใครทำผิดผมก็ยิงมันเลย ถ้ามันชั่วนัก ผมจะบอกว่าทั้ง 2 อย่างนี้ มันเหมือนน้ำกับน้ำมัน มันไปด้วยกันไม่ได้ และถ้าเอามาผสมกันมันจะสร้างความเสื่อมให้กับตัวระบบ ที่เราสร้างขึ้น  เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะทำอะไร คุณก็ทำไปสิ ตั้งแต่ตอนที่คุณมีปืน ที่คุณคิดว่าทำด้วยความหวังดี ทั้งๆที่การรัฐประหารมันเป็นความเถื่อน แต่คุณคิดว่าต้องทำเพราะว่าไอ้ระบบธรรมดามันใช้ไม่ได้ คุณก็ให้เหตุผลไป ผมจะเชื่อหรือไม่เชื่อมันเป็นเรื่องของผม แต่เมื่อเข้าสู่กลไกทางกฎหมาย เกิดระบบรัฐธรรมนูญ คุณต้องทำตามหลัก จะเอาความเชื่อมาใช้ไม่ได้ แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าที่เราเชื่อนั้นเป็นความเชื่อที่ถูก ความเชื่อต้องประกอบด้วยเหตุด้วยผลที่พิสูจน์ได้ นี่เราอยู่ในยุคของการพิสูจน์ยุคของเหตุผลนะครับ หรือว่าผมเข้าใจผิด ที่จริงแล้ว เราไม่ได้อยู่ในยุคของเหตุผล   @ จุดยืนของ 5 อาจารย์คณะนิติศาสตร์
    อาจารย์ทั้ง 5 ต้องการปกป้องหลักการ ในตอนท้ายของบทวิเคราะห์ฯ ฉบับเต็ม เราเขียนว่า "คณาจารย์ทั้งห้ายืนยันว่า ความเห็นต่างของเราเป็นไปเพื่อประโยชน์ทางวิชาการ โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของการไม่ยอมรับรัฐประหาร หลักการเคารพกระบวนการทางกฎหมายที่เป็นธรรม หลักดุลยภาพแห่งอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายตุลาการ หลักความมั่นคงแห่งนิติฐานะและคุ้มครองความเชื่อถือไว้วางใจต่อการดำรงอยู่ ของกฎหมาย หลักการบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาคและเป็นธรรม ซึ่งหลักการทั้งหลายเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งในนิติรัฐ-ประชาธิปไตย และคณาจารย์ทั้งห้ายืนยันที่ปกป้องหลักการทั้งหลายเหล่านี้อย่างสุดกำลัง ด้วยความบริสุทธิ์ใจ"
   คำตอบอยู่ตรงนี้ อยู่ในย่อหน้าสุดท้ายของบทวิเคราะห์ นี่คือสิ่งที่เราทำ เราต้องการปกป้องตรงนี้ ทีนี้ก็มีคนมอง เช่น อาจารย์คณะผมบางคนเคยเขียนว่าเป็นองครักษ์พิทักษ์ปลวกหรือไง หรืออะไรสักอย่าง  ผมมองว่าคนที่พูดแบบนี้ คือไม่เข้าใจ ในทางตรรกะคือแยกไม่ออกระหว่างความต้องการส่วนตัวของตนหรือรสนิยมทางการ เมืองของตน ความชอบความชังของตนกับหลักการในทางกฎหมาย การรักษาไว้ซึ่งจรรยาบรรณในทางวิชาชีพกฎหมาย ความเป็นมืออาชีพ ความคิดอย่างนี้คือเอาความต้องการของตนเป็นใหญ่ ไม่ได้เอาหลักการเป็นใหญ่  สังคมในยุคนี้จึงเป็นอย่างนี้
@  สังคมไทย แห้งแล้งความรู้
     ชุมชนในอินเตอร์เน็ต ที่ด่าผม จริงๆ ผมฟังแล้วก็นึกสังเวชใจอยู่ว่าไม่ค่อยหาความรู้ คือสังคมไทย มันแห้งแล้งความรู้นะ มันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยความเชื่อ อคติ ความเห็น โดยไม่มีฐานของความรู้เลย คือเรื่องบางเรื่อง เราอย่าเพิ่งไปพูดถ้าเราไม่รู้จริงหรือเรายังไม่ได้เข้าไปดูในเนื้อหา
   เราอาจจะพูดได้ ว่าเรื่องนี้เราไม่ชอบนายกรัฐมนตรีที่มีความพัวพันในเรื่องนี้ เราไม่ชอบเขา เราไม่เลือก การตัดสินใจทางการเมืองโดยผ่านการเลือกตั้ง ผมเคารพคะแนนเสียงของประชาชน ไม่มีปัญหา แต่ผมกำลังจะบอกว่าบัดนี้เป็นเรื่องกฎหมาย ซึ่งกฎหมายเป็นเรื่องเหตุผล
   ทีนี้มีคนบอกว่า แล้วศาลฎีกาฯ ตัดสิน คุณไม่เชื่อศาลเหรอ ผมคิดว่า ผมจะเชื่อศาลก็ต่อเมื่อผมอ่าน ตรรกะต่างๆ ซึ่งจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่ใช่เรื่องอำนาจที่จะมาบังคับให้ผมเชื่อ อำนาจไม่สามารถทำให้คนเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่สามารถทำให้คนรักหรือบูชา ทำไม่ได้ทั้งสิ้น
     ผมต้องดูเหตุผล แล้วถามว่าความผิดพลาดมันมีไหม ขอให้นึกถึงคดีเชอรี่แอน ความผิดพลาดในกระบวนการยุติธรรมมันเกิดขึ้นได้เสมอ เกิดขึ้นได้หลายลักษณะ  อันนี้ไม่ได้พูดถึงในคดีนี้ เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าไปพูดถึงคดีนี้ แต่นึกถึงภาพรวมทั้งหมด กระบวนการยุติธรรมในช่วงเวลาหนึ่งภายใต้กระแสความคิดความเชื่อของคนใน สังคมอย่างหนึ่ง มันเป็นอย่างหนึ่ง นึกถึงสมัยกลางภายใต้ความคิดของศาสนจักร มันเป็นอย่างไร มนุษยชาติผ่านตรงนั้นมาแล้ว เราจึงใช้เหตุผล คุณค่าสูงสุดจึงเป็นคุณค่าที่เราเขียนเอาไว้ในย่อหน้าสุดท้ายของบทวิเคราะห์ ฉบับเต็ม ใครที่บอกว่าเราไปพิทักษ์อะไรแสดงว่ายังมองไม่เห็นคุณค่านั้น บางคนยังมองไม่เห็นเพราะใช้ความเชื่อของตัวเองเป็นใหญ่ อคติเต็มหัว
 
@ อภิสิทธิ์ อ้างว่าที่มารัฐบาลถูกต้อง เหมือน สมัครและสมชาย
    มีคนบอกว่าถ้าคนเสื้อแดงจะค้านก็ค้านรัฐบาลสมัครกับสมชายด้วยสิ เพราะเป็นผลพวงของรัฐประหารเหมือนกัน คราวนี้ทำไมไม่แยกแยะ ละครับคราวนี้มองแต่รูปแบบแต่ ไม่ได้มองเนื้อของเรื่องว่ามายังไง
    ผมว่าเรื่องนี้นี่พูดก็พูดไม่ต้องเกรงใจ คุณอภิสิทธิ์ รู้ตัวดีที่สุด ว่าตัวเองมายังไง ถามใจคุณอภิสิทธิ์ ในใจคุณอภิสิทธิ์เองว่า รัฐบาลนี้เกิดขึ้นยังไงแบบแฟร์ๆ ไม่ต้องพูดถึงกรณีที่สื่อลงข่าวกันว่าตั้งรัฐบาลกันที่ไหน แต่ผมถามว่าถ้าไม่มีการยุบพรรคพลังประชาชน จะเกิดรัฐบาลนี้ขึ้นได้ไหม
   ถามว่ากระบวนการพิสูจน์ว่าพรรคพลังประชาชนทุจริตการเลือกตั้ง มีกระบวนการอย่างไร แล้วกลไกรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่นั้นมันเป็นธรรมไหม ที่คนคนเดียวทำผิดแล้วยุบพรรค รวมทั้งตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคที่ไม่เกี่ยวข้อง มันเกิดจากหลักเกณฑ์ที่ยุติธรรมไหม
     ถามว่า คดีที่เกิดขึ้นกับพรรคประชาธิปัตย์ 2-3 เรื่อง มันเป็นอย่างไร มันช้ามันเร็วอย่างไร นี่มีคนบอกว่าเขากำลังทำอยู่ รวมทั้งอธิการบดีของผมก็บอกว่ากำลังนี่เขากำลังทำอยู่ ช้าหน่อยไม่เป็นไร แต่ผมมองว่ากระบวนการทั้ง 2 กระบวนการ อันหนึ่งแล่นอย่างกับรถด่วน แต่อีกกระบวนการหนึ่งไปอย่างกับซาเล้ง ถ้าคุณทำใจเป็นกลางๆ ประเด็นนี้ที่เสื้อแดงพูดว่า 2 มาตรฐาน ก็เป็นเรื่องเห็นๆกันอยู่จะปฏิเสธยังไง
     ลองสมมติแบบไม่ดูหน้าคนสิ ลองสมมติแบบนายเอ นายบี มีเพื่อนผมสอนกฎหมายมหาชน เวลาสอนไม่บอกว่าหมายถึงใครแต่ตั้งเป็นปัญหาตุ๊กตาสมมติ ลอยๆ ขึ้นมาแล้วถามนักศึกษา ปรากฏว่านักศึกษา บอกว่ามันไม่ได้ ไม่ถูกต้อง อย่างงั้นอย่างงี้ มันผิดหลักหมด พอเฉลยมาก็อึ้งกันหมด  บอกว่าคนที่ทำอย่างนี้คือ.... ก็อึ้งกันหมด คือไปกันไม่ถูก เพราะคิดถึงหน้าคนอยู่ตลอดเวลาในการตัดสิน ไม่ได้คิดถึงระบบเรื่องหลัก
    ถึงบอกว่า คุณ เทียบไม่ได้เลย การเลือกตั้ง 23 ธ.ค. เป็นการเลือกตั้งภายใต้ร่มเงาของรัฐประหารอยู่ รัฐบาลมาจาก คมช. ส่วน กกต. ก็มาจากผลพวงของการรัฐประหาร แม้ว่าจะตั้งจากคนที่ศาลฎีกาเลือกมา แต่ภายใต้บริบทต่างๆ เราจะเห็นได้ว่ากลิ่นอายบรรยากาศของรัฐประหาร มันยังอยู่ ภายใต้ความเสียเปรียบของพรรคพลังประชาชน นี่พูดกันแฟร์ๆ แล้วทำไมเขาได้คะแนนมาเกือบครึ่ง
   แปลว่าคนเลือกพรรคนี้มันโง่เหรอ มันไม่ฉลาดเลย เคยเลือกพรรคไทยรักไทยมาแล้วเลือกพรรคนี้อีก มันโง่เหรอ ต้องเลือกอีกพรรคหนึ่งใช่ไหมถึงจะฉลาด ต้องเอาอย่างงั้นใช่ไหมประเทศนี้ คือถ้าเลือกพรรคนี้มันโง่ ต้องเลือกอีกพรรคหนึ่งเท่านั้นคุณถึงจะเป็นคนฉลาด ดูดีมีชาติตระกูล นี่ผมกำลังอธิบายแบบไม่ต้องมีอคติอะไร ไม่ต้องดูหน้าเลย ก็คนเขาเลือกและนี่คือการตัดสินใจทางการเมือง เสร็จแล้วมีคนบอกว่ามีเรื่องซื้อเสียง
    ผมถามว่าการซื้อเสียงมันพิสูจน์ยังไง ก่อนรัฐประหารก็บอกว่าได้มาจากการซื้อเสียง หลังรัฐประหารแล้วไง ยังได้มาจากการซื้อเสียงภายใต้ความคุมเข้มของ กกต. อย่างงั้นเหรอ หรือเป็นเพราะคนเขาเลือกยังไงเขาก็เลือก เขาจะบอกว่าเขาเลือกอย่างนี้ ไม่สนใจว่าคนกรุงเทพฯจะบอกว่าผมโง่ จะทำไมผม มันเป็นสิทธิ์ ของผม ผลก็ออกมาเป็นอย่างงั้น เกือบครึ่ง มันก็บีบพรรคอื่น คุณบรรหาร ก็ยังบอกว่า ถ้าได้มาถึงขนาดนี้มันช่วยไม่ได้นะ เพราะถ้าไปรวมกับประชาธิปัตย์ตั้งรัฐบาล ก็ไม่มีเสถียรภาพหรอก ซึ่งมันก็ถูกของเขา เขาถึงไปร่วมกับพรรคพลังประชาชน ต่อมาจึงมีเหตุยุบพรรค ยุบแล้วถึงแตก แล้วแตกยังไงอีกหน่อยประวัติศาสตร์ก็บอกเอง และรัฐบาลเกิดขึ้นจากตรงนี้ รัฐบาลสมัคร สมชาย เป็นผลโดยตรงมาจากการเลือกตั้ง ส่วนรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ ไม่ใช่ผลโดยตรง  แต่เป็นผลจากการยุบพรรคพลังประชาชนในขณะที่มีผู้ยึดสนามบินสุวรรณภูมิอยู่
   @ คนรักประชาธิไตย รับไม่ได้ หรอกครับ
 คุณ อภิสิทธิ์ ได้รับการเลือกในสภาจริง แข่งกับ พล.ต.อ.ประชา จริง ไม่มีใครเถียง แต่ว่าการเกิด มันเกิดจากการยุบพรรคและล้มรัฐบาลไปสองรัฐบาล และเหตุผลที่ล้ม คือคุณสมัคร โดนคดีทำกับข้าว ซึ่งว่ากันตามหลักเกณฑ์ทางนิติศาสตร์แล้ว ประหลาดที่สุด ตามมาด้วยการยุบพรรคพลังประชาชนเพราะคนคนหนึ่งถูกลงโทษว่ากระทำผิดกฎหมาย เลือกตั้งแล้วก็ยุบ แล้วทำให้รัฐบาลสมชายล้ม เราจะปฏิเสธอำนาจที่มันดำรงอยู่จริง ซึ่งไม่เป็นอำนาจในระบบ มันเป็นไปไม่ได้อีกแล้วและนี่คือประเด็นปัญหา และเป็นคำตอบว่าทำไมเสื้อแดงถึงมีพลังในการเคลื่อนไหวที่ผ่านมา มันเป็นไปไม่ได้เลยถ้าความเคลื่อนไหวไม่อยู่บน พื้นฐานของเหตุผล คนที่มีใจเป็นธรรม รักระบอบประชาธิปไตย เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เห็นแบบนี้รับไม่ได้หรอกครับ
  @  ถ้าอาจารย์เป็นอภิสิทธิ์ จะนำสังคมออกจากความขัดแย้งได้อย่างไร
    คือผมไม่ได้เป็นคุณอภิสิทธิ์ และคุณอภิสิทธิ์ ก็ไม่ใช่ผม เพราะถ้าผมเป็น... ผมจะไม่ตั้งรัฐบาลอย่างที่เกิดขึ้นอย่างนี้ คือถ้าผมเป็น ... ผมจะเป็นอีกอย่างหนึ่งเลยตั้งแต่แรก แม้ว่าผมจะเป็นคู่ต่อสู้ทางการเมืองของคุณทักษิณก็ตาม ผมจะไม่เป็นอย่างนี้อย่างแน่นอน ยอมรับรัฐประหารไม่ได้ ผมก็จะบอกว่าไม่ได้  และก็ต่อต้านด้วย เพราะในระบอบประชาธิปไตย เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ทุกพรรคการเมืองต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการจัดการกับอำนาจนอกระบบ
    เพราะทุกพรรคการเมืองต้องคิดว่าคนที่พรรคการเมืองจะต้องรับใช้คือประชาชน  ไม่ใช่อื่นใดทั้งสิ้น ในระบอบนี้ต้องถือว่าประชาชนสูงสุด ดังนั้นผมสมมติตัวเองเป็นคุณอภิสิทธิ์ในเวลานี้ไม่ได้ เพราะมันจะไม่เป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก มันจะไม่มาถึงจุดแบบนี้
  @บ้านเมืองมีทางออกไหม สถานการณ์เช่นนี้ 
    ผมว่า ยากครับ ก็ผมบอกมาตั้งแต่ตอนรับรัฐธรรมนูญแล้วครับ ว่ารัฐธรรมนูญเป็นอย่างนี้มันจะสร้างปัญหาให้กับบ้านเมืองร่ำไป มันไม่มีทางออก ถ้ากติกาพื้นฐานยังเป็นแบบนี้อยู่
 @  ถ้าจะแก้ปัญหาต้องแก้รัฐธรรมนูญ
 ใช่  แต่ว่าการแก้รัฐธรรมนูญหรือที่จริงคือทำรัฐธรรมนูญใหม่มันเป็นเพียงประเด็น อันหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นส่วนสำคัญ เพราะรัฐธรรมนูญอย่างเดียวมันไม่พออยู่แล้ว และบรรดาอำนาจซึ่งไม่เข้าสู่ระบบทั้งหลายทั้งปวงต้องหยุดได้แล้ว รู้ตัวกันดีอยู่
 @พลังในสังคมบางส่วนกำลังเคลื่อนไหว ให้สมานฉันท์ ให้ยุติความรุนแรง เชื่อพลังสังคม พวกนี้ไหม
    พลังนี้ออกมาได้ยังไง ผมประหลาดใจมากกับพลังแบบนี้ คือ "พลังขาวเนียน" นี่พูดจริงๆ คำนี้อาจารย์พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์มั้ง ที่ใช้คำนี้ ผมชอบจริงๆ คำนี้ คือ พอเห็นว่าแบบที่เคยสู้ๆ มามันไปไม่ได้ ก็มาเปลี่ยนแล้ว เปลี่ยนเนียน พอเห็นแดงมาเยอะหน่อย คุณก็มาเรียกร้องสันติ อะไรกันอีกแล้ว คือ ช่างเลือกเวลาเรียกร้องกันจริงๆ
     มันไม่ใช่ คือถ้าคุณจะพูด คุณต้องดูบริบทความเป็นมาก่อน คุณกระทืบเขา คุณจัดการกับเขาโดยกลไกที่มันเป็นปัญหา ที่สืบเนื่องมาจากรัฐประหาร พอเขามีพลังขึ้นมาบ้าง เขาสู้ขึ้นมาบ้าง คุณกลับบอกว่า เออๆๆ สันติ สมานฉันท์ อย่าใช้ความรุนแรง แล้วตอนที่คุณจัดการเขานี่ มีความรุนแรงที่ไม่ใช่ความรุนแรงทางกายภาพเนี่ย มันเป็นความรุนแรงในเชิงระบบที่คุณปฏิเสธอำนาจที่เขาเลือกตั้งของเขามา คุณทำรัฐประหาร สนับสนุนการรัฐประหารแบบอ้อมๆ เนียนๆ เขาเลือกรัฐบาลมาคุณก็ไปล้ม นี่พูดแบบแฟร์ๆ นะ เออ พูดไปพูดมากลายเป็นว่าคนมองว่าผมเป็นแดงแล้ว แต่ผมไม่สนใจหรอก ผมพูดความจริง ผมพูดจากสิ่งที่ผมเห็น พูดจากหลักการ หลักการที่ถูกต้องเป็นอย่างนี้ สีที่คนอื่นป้ายให้ไม่อาจทำลายหลักการตรงนี้ได้หรอก
@อาจารย์เห็นด้วยกับข้อเสนอให้ยุบสภาแล้วกลับไปเลือกตั้งหรือไม่
 การ ยุบสภาไม่ได้ทำให้ความขัดแย้งหมดไป แต่จะช่วยทำให้มันมีหนทางมากขึ้นในเชิงของการเจรจากันในวันข้างหน้า ในการพูดกันถึงการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ หรือการรีฟอร์มกันใหม่ เซท กันใหม่  มันเปิดทางในแง่นี้ เพราะเราต้องยอมรับว่า รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ เกิดจากการไปล้ม 2 รัฐบาลแล้วเกิดการเปลี่ยนขั้ว และไม่ได้เกิดขึ้นมาจากในระบบธรรมดา แต่เกิดขึ้นมาจากการยุบแล้วบีบ แล้วเปลี่ยน
 ไปถามคนที่เขาเปลี่ยนสิ เพราะอะไรเขาถึงเปลี่ยน พูดกันจริงๆ  คือสังคมนี้ มันพูดกันไม่สุด คือไม่พูดกันว่าทำไมคุณถึงเปลี่ยนละ มันเกิดอะไรขึ้น คุณถูกใครบีบ กล้าพูดกันไหมล่ะครับเรื่องแบบนี้ ในสังคมนี้
 ผมว่า ปัญหาในสังคมนี้มันจะไม่หมดเลยถ้าเรายังพูดกันแบบนี้ เรายังมีเพดานอยู่ตลอดเวลาในการพูดแล้วเราก็อยู่กันตรงนี้ ที่หนักไปกว่านั้นก็คือสำหรับคนจำนวนไม่น้อยยังมีเพดานในการคิดด้วยส่วนคน ที่เห็น คนที่คิด ก็พูดกันนอกรอบไม่สามารถพูดในสาธารณะได้ เพราะมีข้อจำกัดอยู่ แล้วจะแก้ปัญหาได้ยังไง
@มีผู้เสนอว่า แก้รัฐธรรมนูญก่อน ถ้ายุบสภาตอนนี้ความขัดแย้งจะลงสู่สนามเลือกตั้ง
 เรื่อง การแก้รัฐธรรมนูญ ถูกถ่วงมาตลอด เวลาจะแก้ที ก็มีคนบอกว่าอย่าแก้ เพราะแก้เพื่อประโยชน์พรรคการเมือง และก็มีกลุ่มพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ทั้งๆ ที่ความจริง บางคนตอนทำรัฐธรรมนูญก็บอกว่ารับๆ ไปก่อน เคยไปดีเบทกับผม ผมยังจำได้ เขาบอกว่าสมู๊ทที่สุดคือรับไปก่อน แล้วพอรับเสร็จแล้วค่อยมาแก้
 พอจะแก้ปุ๊บวันนี้บอกว่าแก้ไม่ได้ เพราะแก้ไปจะไปเอื้อประโยชน์นักการเมือง นี่คนพวกนี้เขาเป็นแบบนี้และเป็นคนระดับปัญญาชน คนนำสังคม แล้วจะนำสังคมได้ยังไง ในเมื่อคุณยังพูดกลับไปกลับมา ยังกลับกลอกอย่างนี้ คือผมไม่มีปัญหาเลยนะ เมื่อรัฐธรรมนูญผ่านประชามติมาแล้ว ผมก็ยอมรับว่ามันผ่าน แต่สามารถแก้ไขได้จากกฎเกณฑ์การแก้ไขที่อยู่ในรัฐธรรมนูญนั่นแหละ แต่พอจะแก้แล้วมาบอกว่าห้ามแก้ นี่มันมากไปแล้ว ผมถามหน่อยว่ารัฐธรรมนูญเป็นของคุณคนเดียวเหรอ
 แล้วอย่าอ้างว่าแก้ เพื่อผลประโยชน์พรรคการเมือง เพราะคนที่ค้านก็ได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ บางคนได้ประโยชน์ไปดำรงตำแหน่งที่เกิดจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ไปเป็น สว. สรรหาจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ทีตัวเองได้ประโยชน์ทำไมไม่พูด ถ้าคุณพูดเรื่องผลประโยชน์ คุณควรจะอายตัวเองบ้าง คุณพูดเรื่องหลักการสิ ว่าหลักการที่ควรจะเป็นในทางประชาธิปไตยเป็นยังไง ถ้าประโยชน์เกิดจากหลักการที่ถูกต้อง คุณต้องยอม ไม่อย่างนั้นก็จะอยู่ในวังวนแบบนี้
 ทีนี้เวลาอ้างการแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อน ก็จะถูกมองว่าเป็นการซื้อเวลาให้รัฐบาลแล้ว คนที่อยู่อีกฝ่ายหนึ่งจะยอมหรือ
@ ที่สุดแล้วการต่อสู้ของเสื้อแดงรอบนี้อาจกลับบ้านมือเปล่า
 ก็เป็นไปได้ เพราะแบกน้ำหนัก เสื้อแดงชุมนุมเหมือนนักมวยขึ้นชก สู้แบบแบกน้ำหนัก คุณสู้กับใครละ
@ ข้อเสนอให้เปิดพื้นที่กลางๆ ทั้ง 2 ฝ่ายได้คุย
 ก็เป็นไปได้นะ
@ คุยเรื่องอะไร
 เบื้อง ต้น คุณอาจจะปรับเพราะกลไกระยะสั้นที่สุด เรื่องระบบเลือกตั้งที่ไม่เป็นไปตามระบบ ก็ทำให้มันเคลียร์ ถ้าจะทำจริงๆ เดือน 2 เดือนก็เสร็จ แก้ซะตรงนี้ไปเปลาะหนึ่งก่อน จากนั้นก็ไปสู่การเลือกตั้ง แคมเปญสู้กัน แล้วรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ควรจะรีฟอร์มใหม่ไหม ทั้งฉบับ หรือไม่ก็คุยกันเรื่องเงื่อนเวลาในการยุบสภา ว่าจะยุบและจัดการเลือกตั้งภายในเวลาเท่าไหร่ นี่คือประนีประนอมที่สุดที่จะเป็นไปได้
@   มีบางคนบอกว่าคุณทักษิณควรจะหยุดเหมือน ท่านปรีดี (พนมยงค์) คือไม่ต้องกระโดดมาต่อสู้แบบนี้ คือท่านปรีดี ต่อสู้ผ่านทนายความ เวลาหมิ่นประมาทท่านก็สู้ตามกฎหมาย ท่านยินดีจะเสียสละตัวเอง ไปอยู่ต่างประเทศจนสิ้นชีวิต
 สำหรับผม ผมนับถือท่านผู้ประศาสน์การ(ปรีดี พนมยงค์) มาก และนี่ไม่ได้พูดถึงคุณทักษิณ จะพูดถึงแต่ท่านผู้ประศาสน์การ ไม่โยงกับคุณทักษิณ
 ผมคิดว่าท่านผู้ประศาสน์การไปอยู่เงียบๆ ในต่างประเทศนั้น อาจจะเป็นความผิดพลาดก็ได้ ผมขออภัยผู้ที่นับถือท่านผู้ประศาสน์การ ผมก็นับถือท่านผู้ประศาสน์การ และเห็นว่าท่านมีคุณูปการอย่างมากแก่สังคมไทย แต่นี่เป็นการประเมินของผม ขณะที่ท่านอาจจะมีความจำเป็นที่ต้องเป็นอย่างนั้น ซึ่งถ้าผมเห็นความจำเป็นอันนั้นของท่าน ผมอาจจะไม่ประเมินอย่างที่ประเมินก็ได้ แต่โดยเหตุที่ผมไม่เห็น ผมจึงรู้สึกว่าการที่ท่านไปอยู่ต่างประเทศเงียบๆในอีกมุมหนึ่งก็ส่งผลทำให้ ภารกิจการอภิวัฒน์ขาดช่วงไป ไม่บริบูรณ์ แต่แน่นอนถ้าคิดถึงชีวิตครอบครัวของท่าน ข้อจำกัดในการต่อสู้ คิดถึงสิ่งเหล่านี้ประกอบกันก็คงโทษท่านไม่ได้
 สังคมไทยอาจจะมองว่าดี แต่ผมกลับมองอีกด้านว่า ในที่สุดสังคมไทยยังไม่ไปไหน บางทีบทบาทอีกมุมหนึ่งที่ท่านไม่ได้ทำ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะข้อจำกัดหลายอย่างที่ผมไม่รู้ มันอาจจะทำให้สังคมไทยไปไกลกว่านี้แล้วในเวลานี้
 ความจริงท่านปรีดี ท่านสู้ จนถึงเกิดกบฏวังหลวง ปี 2492 นี่คือการสู้ แต่กำลังท่านไม่พอ ท่านแพ้ และแน่นอนว่าความสะเทือนใจของท่านอาจจะหลายอย่าง คนหลายๆ คนซึ่งเป็นเพื่อนร่วมต่อสู้ของท่านจบชีวิตไปในการต่อสู้ ซึ่งผมเข้าใจได้ในแง่ความเป็นมนุษย์ และท่านเลือกอย่างนั้น ผมเคารพในการตัดสินใจของท่าน
 ท่านอาจอยากจะทำ แต่ท่านประเมินแล้วว่ากำลังไม่พอ ความจริงหลายอย่างมันจึงไปพร้อมกับตัวท่าน สังคมนี้ก็ยังกลายเป็นสังคมที่เรายังไม่พูดความจริงอย่างถึงที่สุด
 ส่วน เรื่องของคุณทักษิณ นั้น ผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวพันอะไรกับท่าน ผมทำในส่วนที่เป็นวิชาชีพวิชาการของผม ถ้าคุณทักษิณได้ประโยชน์จากหลักการที่ผมพูด อันนี้ก็ไม่เกี่ยวกับผม แต่เราต้องไม่ลืมนะว่าบริบททางการเมืองสมัยท่านปรีดีกับคุณทักษิณแตกต่างกัน
   ผมคิดว่าระบบมันคงจะเซทไปเอง ในทางวิชาการ เราก็ให้ความรู้จากหลักที่ถูกต้อง ไม่ได้เอาความคิดความเชื่อของตัวเท่านั้นเป็นใหญ่ ก็ใช้ความรู้ให้มาก ผมก็ยังต้องสำรวจตรวจสอบตัวเองอยู่ตลอดเวลา คุยกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ดูเหตุดูผลอยู่ตลอดเวลา ชีวิตที่ไม่มีการตรวจสอบเป็นชีวิตที่ไม่มีคุณค่า โสเครติส บอกเอาไว้ เมื่อสักสองพันห้าร้อยปีมาแล้ว
 ผมไม่ได้สนใจตำแหน่ง ทางบริหาร คือผมอยากทำงานวิชาการ ฉะนั้น ผมพูดได้โดยที่ผมไม่ต้องสนใจว่าผมจะได้เป็นอะไร หรือไม่ได้เป็นอะไร วันนี้ตำแหน่งทางวิชาการ ก็ไม่ได้อยู่ในความอาลัยของผมเลย ตั้งแต่จะต้องวิวาทะกับหลายท่านในวงการนิติศาสตร์ ผมอาจจะไม่ต้องเป็นศาสตราจารย์เลยในชีวิตของผม ผมไม่มีปัญหาเลยกับเรื่องพวกนี้ ถ้าการไปอาลัยอาวรณ์ต่อตำแหน่งเหล่านั้น มันไม่สามารถทำให้เราแสดงความเห็นให้กับสังคมได้อย่างบริสุทธิ์ ได้อย่างอิสระ ก็ไม่ต้องหรอก เพราะชีวิตคนเรามันมีอะไรมากอยู่ได้อีกสักกี่ปี อีก 20 ปี ผมก็จะเกษียณ
@ อยากให้คนรุ่นหลังรู้จักอาจารย์ในฐานะอะไร
 ก็เป็นครูสอนกฎหมาย ที่เคารพในหลักการที่สอน และทำตามที่ตัวเองเชื่อในหลักการที่สอน
 @ วันข้างหน้าจะเล่นการเมืองไหม 
    เราไม่รู้อนาคต มีคนถามเมื่อหลายปีก่อน ผมบอกว่าผมตอบไม่ได้หรอก เขาก็ถามว่าแสดงว่าใจก็คิดอยู่สิว่าจะเล่น เออก็แล้วแต่คนจะคิด คือเราจะไปพูดอะไรให้มันไปเป็นเรื่องฟันลงไปร้อยเปอร์เซ็นต์ยังไง เราไม่รู้ชีวิตของเราข้างหน้า ที่จะเดินไปในวันต่อๆ ไปจะเป็นยังไง ผมรู้แต่ว่าวันนี้มีความสุขในการสอนหนังสือ พอใจกับสถานภาพชีวิตที่เป็นอยู่ และใช้วิชาที่เรียนรู้มาทำงานให้สังคมเท่าที่ทำได้ ส่วนวันข้างหน้า ก็ปล่อยให้เหตุปัจจัยเป็นเครื่องกำหนดดีกว่า อย่าเอาคำตอบว่าเล่นหรือไม่เล่น ผมไม่รู้หรอก ถ้าเหตุปัจจัยเป็นอย่างนี้ ผมก็อยู่อย่างนี้ ผมไม่รู้ว่าผมจะเหมาะกับการเมืองแค่ไหน เพราะผมรักในวิชาการ มีความสุขที่ได้คิดทางวิชาการ ได้สอนหนังสือ
    การทำบทวิเคราะห์คำพิพากษา ก็ไม่ได้ทำให้ผมได้อะไรจากการทำตรงนี้ ไม่ได้เอาไปขอปริมาณการทำงานหรือตำแหน่งทางวิชาการ เพราะนี่คือการทำเปล่า ทำด้วยใจรักเพื่อที่จะบอกกับสังคม ความจริงผมกับเพื่อนอีก 4 คนอาจจะไม่ทำเลยก็ได้ ก็รออยู่เหมือนกันว่าใครจะออกมาพูดเรื่องเนื้อหาไหม เมื่อไม่มี ผมคิดว่าจะปล่อยให้สังคมไปแบบนี้ไม่ได้
@คุณทักษิณ และ พรรคเพื่อไทย ได้ประโยชน์จากบทวิเคราะห์ 5 อาจารย์ เต็ม ๆ โดยไม่ต้องจ่ายสักบาท
 (หัวเราะ) ก็ไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องสาธารณะ
 ถ้า มัวแต่คิดว่าใครจะได้ประโยชน์หรือไม่ได้ประโยชน์ หรือกลัวคนจะว่าว่ารับเงิน กลัวคนว่าว่าใกล้ชิดทักษิณ กลัวคนว่าอยากดัง กลัวคนว่าว่าร้อนวิชา ก็จะทำให้เราทำอะไรไม่ได้เลย คำถามคือเวลามองตัวเองในกระจกแล้วละอายตัวเองหรือเปล่า คุณซื่อสัตย์ต่อมโนธรรมของคุณไหม คุณได้อะไรไหม คุณเป็นอย่างที่เขากล่าวหาไหม ถ้าคุณไม่เป็นก็คือไม่เป็น ถ้าเราใสเหมือนกระจกก็คือใสเหมือนกระจก
 เรื่องแบบนี้ อย่างที่บอกว่า อาจารย์ 5 คนเนี่ย ถ้ามีนอกมีใน มันไม่กล้าทำหรอก จะเอาเกียรติศักดิ์ศรีของตัวเองไปแลกทำไม แต่เพราะว่าเราไม่มีอะไรเลย เราถึงกล้า
 ใช่ว่าจะมีอนาคตนะ 5 อาจารย์นี้(หัวเราะ) คุณวิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญ คุณวิจารณ์ศาลปกครองสูงสุด คุณวิจารณ์ศาลฎีกา คุณวิจารณ์ระดับ Top ของวงการนิติศาสตร์ไทย วงการกฎหมายไทย คุณจะเหลืออนาคตอะไร
 @ อาจารย์ วรเจตน์ ห่วงอะไร
       ตัวผมไม่ค่อยน่าห่วงเท่าไหร่ ผมก็อยู่ของผมไปอย่างนี้ แต่ผมห่วงอาจารย์รุ่นน้องผมถ้ากลับมาจากต่างประเทศ คือผมนับถือน้ำใจของเขานะ แต่นี่คือทางที่ผมและเพื่อนเลือกเดิน รู้แต่ว่าเรารักในวิชา เราอยากบอกความจริงแก่สังคม บางคนบอกว่าศาลพิพากษาไปแล้วไม่ทำให้จบเหรอ แต่ผมคิดว่าสังคมควรสว่างไสวในทางปัญญา  ปัญญาจะไม่เกิดถ้าไม่มีความคิดต่าง ไม่มีการถกเถียงด้วยเหตุผล ผมหวังว่ากลุ่ม 5 อาจารย์จะเป็นพลังเล็กๆ ให้คนได้ฉุกคิด เรื่องไหนเราถูกไม่ถูกก็ว่ากันมาด้วยเหตุด้วยผล แต่เราไม่มี ไม่เคยรับผลประโยชน์ใดๆ จากใครทั้งสิ้น
 @ อาจารย์ควรภูมิใจหรือเสียใจ ถ้าบทวิเคราะห์ 32 หน้าของอาจารย์ไปปรากฏในคำอุทธรณ์ของคุณทักษิณ เกือบหมดเลย    ไม่ใช่เรื่องของผม ไม่เป็นปัญหาของผมเลย นี่ผมบอกเลยนะครับ มีคนมาเล่าให้ผมฟังว่า มีการโพสต์ข้อความในอินเตอร์เน็ต ถามว่าทำไมไม่มาจ้างอาจารย์กลุ่มนี้ ...ไม่เกี่ยวอะไรกับผม ผมไม่ได้ยุ่งกับคดีนี้ตั้งแต่แรก ไม่เคยเกี่ยวข้อง เรื่องนี้ก็เหมือนกับเรื่องอื่นๆ ที่ผมทำให้กับสังคม    ความมุ่งหมายของผมมีอย่างเดียวคือ ผมต้องการให้สังคมเห็นอีกมุมหนึ่งซึ่งไม่มีการพูดกัน เอาความรู้มาเถียงกัน ผมไม่อยากให้สังคมถูกพัดพาไปโดยกระแสในด้านเดียว เท่านั้นเอง และผมคิดว่าความจริงคือความจริง ความรู้คือความรู้ ไม่อยากให้ใช้ความเชื่อ ไม่อยากให้ใช้อคติ พูดก็พูดเถอะ ธรรมชาติประทานสติปัญญาให้เรา ประทานสมองให้เรา เราต้องคิด ต้องใช้มันให้มาก อคติไม่ต้องใช้มากเพราะสังคมไทยใช้มาเยอะแล้ว ซึ่งที่ผมพูดมา หรือที่กลุ่มห้าอาจารย์พูด เราพูดในเชิงกฎหมาย เฉพาะประเด็นที่เกี่ยวกับคำพิพากษานี้ ไม่ได้สนับสนุนความชอบธรรมอะไรในทางการเมืองให้กับคุณทักษิณ เพราะคำพิพากษานี้เป็นเรื่องการขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ก็ต้องว่ากันตามเกณฑ์ทางกฎหมาย   เพราะเรื่องทางการเมือง ต้องประเมินอีกอย่างหนึ่ง มีเกณฑ์อีกแบบหนึ่งเป็นคนละเกณฑ์กัน แต่นี่เรากำลังจะเอา 2 เกณฑ์มาเป็นเรื่องเดียวกัน    ไม่ใช่เรื่องที่ผมภูมิใจหรือไม่ภูมิใจ และมีคนถามว่านี่ผมช่วยคุณทักษิณหรือ? แล้วผมเกี่ยวอะไรกับคุณทักษิณ ผมขอบอกว่า ถ้าจะดูช่วยไปดูที่เนื้อหา สังเกตไหมว่าแถลงการณ์เที่ยวนี้ เราพูดเรื่องรัฐประหารน้อยนะ ทั้งที่เป็นประเด็นใหญ่สุดเพราะเป็นต้นสายของทุกอย่างที่ตามมา หมายความว่ากระบวนการที่เกิดขึ้นสืบทอดมาจากรัฐประหาร มันควรจะใช้ไม่ได้ แต่ที่พูดตรงนี้น้อย เพราะเราต้องการให้ดูเรื่องเนื้อหา เพราะมีการพูดกันว่าอย่าไปเถียงเรื่องรัฐประหารและเอาเป็นว่าถ้าเข้าสู่ระบบ ปกติมันผิดไหมอย่างไร ผมก็เลยบอกว่าคุณลืมเรื่องรัฐประหารไปเลยก็ได้ คุณเริ่มต้นอ่านจากเนื้อหาในบทวิเคราะห์ของกลุ่มห้าอาจารย์เลย ต่อให้ไม่คิดถึงเรื่องรัฐประหารด้วย ผมไม่อยากให้ทุกคนว่าประเด็นพวกนี้เป็นเรื่องเทคนิค พอเป็นเรื่องเทคนิคแล้วคิดว่ายุ่งยากซับซ้อนแล้วเชื่อๆ ตามๆ กันไป ผมไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น
@ ในระยะยาวรากหญ้าหรือสีแดง กับชนชั้นนำในสังคม ใครจะชนะ-แพ้
    ในอีกหลายปีข้างหน้า ผมยังเชื่อว่ามีวิวัฒนาการทางธรรมชาติ คนตระหนักในสิทธิของตัวเองมากขึ้น รู้มากขึ้น ระยะยาวคนที่เป็นพลังส่วนใหญ่ของสังคม เขาจะชนะอยู่ดี มันเกิดขึ้นในทุกๆแห่ง มันจะดึงหรือหน่วงเอาไว้ ได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น แต่สุดท้ายสังคมก็วิวัฒนาการไปสู่จุดที่คนตระหนักในคุณค่าเรื่องเสรีภาพ ความเสมอภาคอยู่ดี เป็นเรื่องธรรมดา แต่ทำนายไม่ได้ว่ากี่ปี เพราะมันไปพันกับลักษณะเฉพาะของสังคมไทย มันจะยากสำหรับสังคมนี้ ที่จะเปลี่ยนอะไรบางอย่างแล้วแต่มันจะเปลี่ยนโดยธรรมชาติของมัน แต่ผมก็ยังเชื่อนะว่าอะไรที่เป็นความจริง  มันก็ยังเป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ ความจริงอาจจะถูกปิดบังในบางเวลา คนอาจจะเห็นความจริงไม่หมดในบางเวลาหรืออาจจะไม่อยากเห็นความจริงบางเรื่อง เห็นแล้วมันสะท้อนใจ กระแทกใจตัวเองหรือรับไม่ได้ มันไม่ตรงกับที่ตัวเองเชื่อที่ตัวเองคิด @ ความจริงอาจจะมาช้าหน่อย           วันนี้เรื่องของคุณทักษิณ ก็มีคนที่เชื่อไปแล้วว่ามันเอื้อประโยชน์แน่ๆ มันทำอย่างนี้มันเอื้อแล้วแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยที่อาจจะไม่ได้แยกแยะเรื่องทางกฎหมายกับการเมืองออกจากกันให้ชัด อีกอย่างหนึ่งตอนนี้การวิเคราะห์ ในสังคมมันไม่สมบูรณ์เพราะเราไม่สามารถพูดได้ทุกเรื่อง ความจริงในสังคมประชาธิปไตยต้องวิเคราะห์อย่างสมบูรณ์แล้วก็จะเห็น บางคนถูกปิดตาไว้ข้างหนึ่งบางคนเต็มใจ ที่จะปิดตาไว้อีกข้างหนึ่งหรือบางทีปิดไว้ทั้ง 2 ข้าง เพราะเชื่อไปแล้ว พอเชื่อไปแล้วก็จบแล้ว คุณจะพูดอะไรก็ไม่ได้แล้ว เหมือนที่ใครบอกว่าผมเป็นกาลิเลโอหลงยุค แต่ผมไม่แคร์ เพราะผมรู้สึกว่าเขาไม่สามารถตอแยในเนื้อหาได้ต่างหากก็ออกไปทางนั้น ผมจะต้องไปสนใจอะไรกับเรื่องพวกนี้ อย่างที่ผมบอกถ้าผมสนใจกับเรื่องพวกนี้ ผมไม่ต้องทำอะไรแล้ววันๆ หนึ่ง แล้วผมจะสอนกฎหมายมหาชนยังไง ถ้ามีเรื่องที่ผิดหลักแล้ว ลูกศิษย์มาถามว่า ทำไมอาจารย์ไม่มีความเห็นอะไรเลย มันไม่ได้หรอก
  @ อาจารย์วรเจตน์ ตั้งคำถาม ให้สังคมคิด แต่กระแสพัดแรงขนาดนี้ ใครจะฟัง
       ก็จริง แต่ผมอยากให้ลองอ่านความเห็นของผู้พิพากษาข้างน้อยในคดีนี้ในประเด็นเรื่อง เอื้อประโยชน์หรือไม่ ท่านผู้พิพากษาเสียงข้างน้อยในคดีนี้เขียนข้อเท็จจริงหลายเรื่องไว้ละเอียด บางเรื่องผมก็ได้อ่านหลังจากออกบทวิเคราะห์ไปแล้ว เช่น การอ้างคำพยานผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของสัมปทานดาวเทียม  แต่ประเด็นเรื่องหุ้นท่านผู้พิพากษาท่านนี้ก็ชี้นะว่าเป็นเรื่องที่คุณ ทักษิณถือเอง แต่ประเด็นเรื่องนี้เป็นประเด็นที่กลุ่มห้าอาจารย์ไม่ได้พูดไว้ในบท วิเคราะห์ มีคนคิดว่ากลุ่ม 5 อาจารย์เห็นด้วย แต่ผมมีความเห็นว่าเรื่องหุ้นนี่พูดยากนะ เพราะมันกระทบกับระบบการถือครองหุ้นทั้งระบบ คุณขายหุ้นให้ลูก ต่อมาลูกจะขายหุ้นต่อไป ลูกอายุ 22 มาปรึกษาคุณ คูณบอกขายหรือไม่ขาย แล้วจะแยกยังไง ว่าหุ้นเป็นของคุณ หรือเป็นของลูก ในทางรูปแบบหุ้นเป็นของลูก แต่ในทางเนื้อหาก็ชักไม่แน่ใจว่าใครถือครอง พอวินิจฉัยยาก ความไม่แน่นอนในทางนิติฐานะจะเกิดขึ้นทันทีในระบบกฎหมาย เพราะคุณออกทางไหนก็วิพากษ์วิจารณ์ได้ ผมจึงถามว่าคุณจะเอายังไง จะเขียนกฎหมายห้ามขายให้ญาติใกล้ชิดไหม คือห้ามคนในครอบครัวรัฐมนตรีถือครองหุ้นเลยไหม จะไหวไหม
@  ได้ข่าวว่า อาจารย์ วรเจตน์ เป็น  กาลิเลโอหลงยุค เป็น องครักษ์พิทักษ์ปลวก ไปแล้ว
   ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ผมคิดว่าคนในวงการเขาก็รู้กันอยู่ว่าเป็นยังไง ก็เหมือนที่ผมถูกป้ายเป็นพวกทักษิณไง ซึ่งมันก็ช่วยไม่ได้ จะป้ายก็ป้ายไป
                            http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1269497581&grpid=01&catid=04

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/tu_council/record/nopporn.htm
http://www.visalo.org/

3 หนุ่ม 3 มุม "เสี่ยตา-เสี่ยต๋อย-วิทวัส " เกมโชว์ ตัวพ่อ ...ใครหนอรวยโคตร ๆ!!!




วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 13:46:21 น.  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

3 หนุ่ม 3 มุม "เสี่ยตา-เสี่ยต๋อย-วิทวัส " เกมโชว์ ตัวพ่อ ...ใครหนอรวยโคตร ๆ!!!

ถ้า พูดถึงเกมโชว์ในเมืองไทยต้องมีชื่อของ 3 คนนี้ เชื่อหรือไม่ 3 เจ้าพ่อเกมโชว์ อันประกอบด้วย เสี่ยตา-ปัญญา นิรันดร์กุล แห่งบริษัทเวิร์คพอยท์ เสี่ยวีที-วิทวัส สุนทรวิเนตร์ เจ้าพ่อ "ตีสิบ" และ เสี่ยต๋อย-ไตรภพ ลิมปพัทธ์ เจ้าของบริษัท บอร์นฯ 3 เสี่ย รวยทะลุพันล้าน ถ้าไม่เชื่อต้องอ่านเรื่องนี้ !!!

     ... โดนจับคู่ให้เป็นมวยคู่เอกประเภทเกมโชว์และวาไรตี้จอตู้ไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับ เสี่ยตา-ปัญญา นิรันดร์กุล แห่งบริษัทเวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด เจ้าของรายการ ชิงร้อยชิงล้าน เกมทศกัณฐ์ ระเบิดเถิดเทิง ฯลฯ กับ เสี่ยวีที-วิทวัส สุนทรวิเนตร์ เจ้าพ่อ "ตีสิบ" ในนามบริษัท ทเว็นตี้ ทเว็นตี้ เอ็นเทอร์เทนเมนต์ จำกัด
     แม้ทั้งสองคนเพิ่งกอดคอคุยกันอย่างสนิทสนมในพิธีครอบครูของช่อง 3 เมื่อเร็วๆ นี้ก็ตาม      ก่อนหน้านี้ "ชิงร้อยชิงล้าน" เพิ่งคว้าเบอร์หนึ่งจากการสำรวจของศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เมื่อเดือนสิงหาคม 2552 โดยได้รับความนิยมร้อยละ 20.3 ตามมาด้วยตีสิบ (ช่อง 3) ร้อยละ 8, ละครเป็นต่อ (ช่อง 3) ร้อยละ 6.9, รายการบางจะเกร็ง (ช่อง 5) ร้อยละ 4.3 และรายการสาระแนโชว์ (ช่อง 5) ร้อยละ 3.6 จากการสำรวจวัยรุ่น 1,000 คน   ก็ไม่ได้หมายความว่าความนิยมจะไม่แปรเปลี่ยน อย่าลืมว่าเม็ดเงินโฆษณาผ่านเกมโชว์และวาไรตี้ปีละเกือบหมื่นล้านบาท ถ้าใครเผลอจะเป็นฝ่ายแพ้ทันที และถ้าตั้งคำถามว่าในบรรดาเจ้าพ่อเกมโชว์ใครรวยกว่ากัน? จะได้คำตอบดังนี้ "เสี่ยตา" ก่อตั้งบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2532 ทุนเริ่มแรก 1 ล้านบาท ต้นปี 2547 จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทุน 200 ล้านบาท ที่ตั้งอยู่แถว ต.บางพูน อ.เมือง จ.ปทุมธานี เสี่ยตา กับ นายประภาส ชลศรานนท์ ถือหุ้นคนละ 37% นายทวีฉัตร จุฬางกูร ถือ 1%   ผลประกอบการปี 2550 รายได้ 1,143.4 ล้านบาท กำไรสุทธิ 232.9 ล้านบาท ปี 2551 รายได้ 1,016.7 ล้านบาท กำไรสุทธิ 150.8 ล้านบาท ก่อนหน้านี้ระหว่างปี 2547-2549 โกยรายได้ปีละ 1,000 ล้านบาท กำไรสุทธิ 200-300 ล้านบาท   มีบริษัทในเครือ 10 แห่ง ได้แก่ บริษัท เวิร์คพอยท์ พับลิชชิ่ง จำกัด ก่อตั้งวันที่ 12 ธันวาคม 2545 ทุน 4 ล้านบาท บริษัท โต๊ะกลมโทรทัศน์ จำกัด ก่อตั้งวันที่ 19 มีนาคม 2547 ทุน 10 ล้านบาท (นายธีรวัฒน์ อนุวัตรอุดม ถือหุ้น 25%) บริษัท คำพอดี จำกัด ก่อตั้งวันที่ 17 มกราคม 2548 ทุน 8.5 ล้านบาท (นายธงชัย ประสงค์สันติ ถือหุ้น 35%) บริษัท บ้านอิทธิฤทธิ์ จำกัด ก่อตั้งวันที่ 17 มกราคม 2548 ทุน 20 ล้านบาท (นายปรัชญา ปิ่นแก้ว ถือหุ้น 28 %) บริษัท หัวฟิล์ม ท้ายฟิล์ม จำกัด ก่อตั้งวันที่ 7 ตุลาคม 2548 ทุน 5 ล้านบาท บริษัท บั้งไฟ สตูดิโอ จำกัด ก่อตั้งวันที่ 7 ตุลาคม 2548 ทุน 10 ล้านบาท (นายเพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา หรือ หม่ำ จ๊กมก ถือหุ้น 40%)   บริษัท กราว จำกัด ก่อตั้งวันที่ 17 ตุลาคม 2549 ทุน 2 ล้านบาท บริษัท บริษัท กำกับการดี จำกัด ก่อตั้งวันที่ 29 กรกฎาคม 2551 ทุน 5 ล้านบาท บริษัท ซิกซ์เนเจอร์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (โฆษณา จัดหานักแสดง) ก่อตั้งวันที่ 27 ตุลาคม 2551 ทุน 5 ล้านบาท (นายทศเทพ วงศ์หนองเตย ถือหุ้น 35%)   บริษัท หญ้านุ่ม จำกัด กิจการอสังหาริมทรัพย์ ก่อตั้งวันที่ 8 มิถุนายน 2552 ทุน 1 ล้านบาท "เสี่ยตา" เคยทำธุรกิจผลิตภาพยนตร์ร่วมกับ นางลาวัลย์ กันชาติกลุ่มเจเอสแอล ชื่อบริษัท เอิร์ธ แอนด์ ดรีม พิคเจอร์ส จำกัด เมื่อปลายปี 2539 เลิกกิจการในปี 2543   จากการตรวจสอบพบว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา "เสี่ยตา" รับงานโฆษณาให้หน่วยงานรัฐอย่างน้อย 5 แห่ง ได้แก่ ประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการขายสลากออมสินพิเศษ ทางช่อง 5, ช่อง7 และโมเดิร์นไนน์ ให้ธนาคารออมสิน   ประชาสัมพันธ์การแปลงสภาพ กฟผ. เป็นบริษัทจำกัด (มหาชน) ผ่านสื่อโฆษณาทางโทรทัศน์ (ทางช่อง 3, 5 และ 9) ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) , พิมพ์หนังสือและผลิตรายการโทรทัศน์ให้เทศบาลนครตรัง, ประชาสัมพันธ์รายการ "คุณธรรมนำความรู้" ให้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, ทำพีอาร์ให้สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระ ราชดำริ   งานชิ้นล่าสุดเดือนกันยายน 2552 คือ จัดรณรงค์ส่งเสริมการขายหลอดตะเกียบติดฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ออกอากาศทางช่อง 5 ช่อง 7 และโมเดิร์นไนน์ ให้ กฟผ. วงเงิน 7.7 ล้านบาท   อย่าได้เแปลกใจ "ซูโม่ตา" อดีตสมาชิกรายการ "เพชฌฆาตความเครียด" เมื่อหลายปีก่อน จะมีบ้านราคา 400 ล้านบาทอยู่แถวๆ ออฟฟิศ "เวิร์คพอยท์" นั่นเอง   ขณะที่นายวิทวัสเป็นเจ้าของธุรกิจเพียงแห่งเดียว ชื่อ บริษัท ทเว็นตี้ ทเว็นตี้ เอ็นเทอร์เทนเมนต์ จำกัด ก่อตั้งวันที่ 30 มิถุนายน 2540 ทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท มีออฟฟิศอยู่ในอาคารลุมพินีทาวเวอร์ ชั้น 14 ถนนพระราม 4 แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพฯ กระนั้นมีตัวเลขทางบัญชีดีไม่น้อย ปี 2548 รายได้ 133.6 ล้านบาท กำไรสุทธิ 25.1 ล้านบาท ปี 2549 132.4 ล้านบาท กำไรสุทธิ 27.5 ล้านบาท ปี 2550 รายได้ 148.9 ล้านบาท กำไรสุทธิ 27.5 ล้านบาท ปี 2551 รายได้ 160.9 ล้านบาท กำไรสุทธิ 35.3 ล้านบาท สินทรัพย์อยู่ที่ 204.6 ล้านบาท   ก่อนรวยอู้ฟู่ เสี่ยวิทวัสผ่านงานใน บริษัท แปซิฟิก อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ยุค ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล เป็นพิธีกรในรายการ คืนนี้ที่ช่อง 9 ต่อมาเปลี่ยนเป็น "ที่นี่กรุงเทพฯ" และย้ายไปออกอากาศทาง ททบ.5 จากนั้น หันมานั่งเก้าอี้เอ็มดีบริษัท คอนสแตนท์ แอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด ในเครือ บมจ.ผลิตภัณฑ์อาหารกว้างไพศาล ของ นายสุรินทร์ โตทับเที่ยง หรือ เสี่ยปุ้มปุ้ย ผู้ผลิตรายการสี่ทุ่มสแควร์ ทางช่อง 7 ควบพิธีกร กระทั่งเปิดบริษัทของตนเอง   นาทีนี้ถ้าวัดกันเม็ดต่อเม็ด ต้องถือว่า "ซูโม่ตา" อู้ฟู่กว่าหลายขุม แต่ถ้าเทียบกับจ้าพ่อเกมโชว์อีกคน เสี่ยต๋อย-ไตรภพ ลิมปพัทธ์ เจ้าของบริษัท บอร์น แอนด์ แอสโซซิเอทด์ จำกัด ซึ่งหวนคืนเวทีอีกครั้ง หลังทำ "เกมเศรษฐี" ดังระเบิดเมื่อหลายปีก่อน ทั้งสองคนเหนือกว่า ทั้งนี้ บริษัท บอร์นฯ ก่อตั้งวันที่ 18 มกราคม 2532 ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท ปี 2551 มีรายได้ 48.1 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 4.3 ล้านบาท ก่อนหน้านี้มีกำไรต่อเนื่องปีละ 16.5-57 ล้านบาท จากรายได้ 133-200 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจโฆษณาอีกแห่ง ชื่อ บริษัท บอร์น ออพเปอเรชั่น จำกัด ก่อตั้งปลายปี 2527 ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท 3 ปีย้อนหลังขาดทุนติดต่อกัน ปี 2551 รายได้ 1.5 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 7.7 ล้านบาท ปี 2550 รายได้ 16.4 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 2.5 ล้านบาท ปี 2549 รายได้ 28.6 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 3.8 ล้านบาท   เป็นช่วงขาลงของ "เสี่ยต๋อย" ก็คงไม่ผิดนัก เพราะเมื่อครั้งอยู่ในไอทีวี ปี 2547-2548 บริษัทของ "เสี่ยต๋อย" คว้างานพีอาร์โครงการใบกำกับภาษีมีรางวัลให้กรมสรรพากร 2 ปีติดต่อกันฟันไป 12.4 ล้านบาท เล่นเอาหลายคนตาร้อนไปตามๆ กัน พ้นยุคไทยรักไทยก็ไม่มีหน่วยงานรัฐเป็นลูกค้าอีกเลย นี่คือความมั่งคั่งของคนทำเกมโชว์ "มีขึ้น-มีลง"   สำหรับ "เสี่ยตา" ซึ่งมีคนตระกูลวงศ์หนองเตยร่วมถือหุ้นด้วย นาทีนี้น่าจะระเบิดเถิดเทิงมากกว่าใครเพื่อน? นาทีนี้ เป็น เรื่องของ"คนจะรวย" ช่วยไม่ได้!!
  ( หมายเหตุ จาก ศัลยา ประชาชาติ  มติชนสุดสัปดาห์ วางแผงวันนี้ )
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1269600874&grpid=02&catid=no

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/tu_council/record/nopporn.htm
http://www.visalo.org/

เปิดเครือข่าย 5 บ.คว้าโควต้าน้ำตาล พบผู้บริหาร-ที่อยู่แห่งเดียวกัน "พาณิชย์-สอน." โยนกลองวุ่น

วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 21:24:15 น.  มติชนออนไลน์

เปิดเครือข่าย 5 บ.คว้าโควต้าน้ำตาล พบผู้บริหาร-ที่อยู่แห่งเดียวกัน "พาณิชย์-สอน." โยนกลองวุ่น

เปิดข้อมูล 11 บริษัทกวาดโควต้าน้ำตาลทราย 8 แสนกระสอบ พบอย่างน้อย 5 แห่งมีผู้ถือหุ้นกลุ่มเดียวกันไดัรับจัดสรรกว่าครึ่ง ด้านปลัดพาณิชย์ระบุกลุ่มเสียประโยชน์โวยดักคอ ทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไร ยันได้รายชื่อจาก สอน. ลั่นไม่ล้มการจัดสรร ขณะที่รองเลขาฯ สอน.โต้ไม่เกี่ยวข้อง มีหน้าที่ประสานงานเท่านั้น

ความคืบหน้ากรณีศูนย์อำนวยการบริหารจัดการน้ำตาลทราย กระทรวงพาณิชย์ มีหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) เพื่อให้ประสานไปยังโรงงานน้ำตาลทรายจัดสรรน้ำตาลทราย จำนวน 8 แสนกระสอบให้กับบริษัทเอกชน 11 แห่ง จากโควต้าน้ำตาลทรายที่กระทรวงพาณิชย์ได้รับทั้งหมด 1 ล้านกระสอบ เพื่อบรรเทาภาวะการตึงตัวของน้ำตาลทรายภายในประเทศ และมีแนวโน้มเริ่มขาดแคลนและมีราคาสูงในบางพื้นที่ ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่ากระบวนการคัดเลือกบริษัทได้ดำเนินการอย่างถูกต้อง ชอบธรรมหรือไม่

 

นอกจากนั้น ยังมีการวิพากษ์วิจารณ์ในวงการค้าน้ำตาลทราย ซึ่งได้รับการติดต่อจากบุคคลบางกลุ่มเสนอจะจัดหาน้ำตาลทรายมาให้ โดยคิดค่าดำเนินการกระสอบละ 300 บาท หากคิดจากปริมาณน้ำตาลทราย 8 แสนกระสอบ จะมีผลประโยชน์เป็นวงเงินสูงถึง 240 ล้านบาท

 

ผู้สื่อข่าว "มติชน"  ได้ตรวจสอบข้อมูลการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเอกชน ทั้ง 11 ราย พบว่า ในส่วนของพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งมี 4 บริษัท ที่ได้รับจัดสรรโควต้า คือ

บริษัท อาร์.ซี.อาร์.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

บริษัทสยาม ส.ว.พ. จำกัด

บริษัท วี.พี.เอส.ไทย จำกัด และ

บริษัทลาภวารินทร์ จำกัด

รวมปริมาณน้ำตาลทราย 442,590 กระสอบ มีผู้บริหารกลุ่มเดียวกันและบางบริษัทมีสถานที่ตั้งแห่งเดียวกัน อาทิ บริษัท อาร์.ซี.อาร์.ฯแจ้งจดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2537 ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท ตั้งอยู่เลขที่ 279-281 ถนนมังกร แขวงป้อมปราบ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร 10100 ระบุประเภทธุรกิจจำหน่ายเครื่องเสียง-ค้าส่ง ปรากฏชื่อนายวิบูลย์ ทวีรุจจนะ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ ส่วนกรรมการคนอื่นประกอบด้วย นายไพบูลย์ ทวีรุจจนะ และนาย วิชัย รัตนาวสิกุล

 


ขณะที่บริษัท ลาภวารินทร์ จดทะเบียนเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2521 มีทุน 1 ล้านบาท ประกอบธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์-ผู้ผลิต ปรากฏชื่อนายวิชัย รัตนาวสิกุล และนายวิบูลย์ ทวีรุจจนะ เป็นกรรมการและผู้มีอำนาจ และมีนายสิทธิบุญ ทวีรุจจนะ เป็นกรรมการ และผู้ถือหุ้นใหญ่

 

ส่วนบริษัท วี.พี.เอส.ไทย จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2537 ทุน 10 ล้านบาท ที่ตั้งอยู่เลขที่เดียวกับ บริษัท อาร์.ซี.อาร์.ฯ คือ 279-281 ถนนมังกร แขวงป้อมปราบ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร 10100 ประกอบธุรกิจประเภทจำหน่ายเครื่องเสียง-ค้าปลีก,ค้าส่ง เป็นธุรกิจขนาดเล็ก ปรากฎชื่อ นาย วิบูลย์ ทวีรุจจนะ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ และผู้ถือหุ้นใหญ่ จำนวน 77.1240%

 

ส่วนบริษัท สยาม ส.ว.พ. จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2542 ทุน 1 ล้านบาท ตั้งอยู่เลขที่ 161 ถนนพลับพลาไชย แขวงป้อมปราบ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร 10100 ประกอบธุรกิจจำหน่ายเครื่องเสียง-ค้าปลีก มีนายวิศรุต ทวิรุจจนะ ถือหุ้นใหญ่ และพบว่ามีที่อยู่เดียวกับบริษัท พอสซี่ เซอร์วิส จำกัด ประกอบธุรกิจจำหน่ายและบริการติดตั้งอะไหล่รถยนต์,เครื่องใช้ไฟฟ้า มีนาย วิชัย รัตนาวสิกุล เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ

 

นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ในขั้นตอนการคัดเลือกบริษัทเหล่านี้ กระทรวงพาณิชย์ได้ใช้ข้อมูลเดิมจากศูนย์บริหารจัดการน้ำตาลทรายของ สอน. ที่มีอยู่แล้ว ส่วนบริษัทฯไหนจะมีความสัมพันธ์อย่างไร ไม่ทราบรายละเอียด เพราะไม่ได้มีหน้าที่ และยืนยันว่าจะไม่มีการยกเลิกการจัดสรรโควต้าน้ำตาลทรายครั้งนี้อย่างแน่นอน

 

"การจัดโควต้าน้ำทรายครั้งมี กระทรวงพาณิชย์ มีวัตถุประสงค์ ที่จะเข้าไปบริหารจัดการให้มีการกระจายน้ำตาลทรายอย่างทั่วถึง ไม่ให้ไปอยู่ที่ใครคนใดคนหนึ่งมากจนเกินไป แต่ขณะนี้ ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ก็มีคนออกมาโวยวายดักหน้าดักหลังไม่ให้ทำแล้ว ซึ่งในส่วนของผู้ที่ออกมาโวยวาย ผมมองว่าเป็นพวกผี หรือพวกนอมินี เป็นคนที่กลัวว่าจะไม่ได้รับการจัดสรรให้มากกว่า"  นายยรรยงกล่าว

 

นายพงษ์เทพ จารุอำพรพรรณ รองเลขาธิการ สอน. กล่าวยืนยันว่า สอน.มีหน้าที่เพียงการจัดสรรน้ำตาลทรายตามโควต้าที่ให้ไป และประสานกับโรงงานน้ำตาลทราย พร้อมทั้งมอบรายชื่อโรงงานและสถานที่ตั้ง รวมถึงรายละเอียดการขึ้นงวดน้ำตาล ทรายให้กับกระทรวงพาณิชย์เท่านั้น ส่วนรายชื่อบริษัทที่จะซื้อไม่เกี่ยวข้องกับ สอน.แต่อย่างใด


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1269613479&grpid=no&catid=05



--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/tu_council/record/nopporn.htm
http://www.visalo.org/

วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553

เจาะขุมทรัพย์ 189 นักการเมือง "ไพร่" พรรคเพื่อไทย รวยอู้ฟู่ 9,200 ล้าน - ตุนที่ดิน 2.1 หมื่นไร่ !!






ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์

วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 18:00:09 น.  มติชนออนไลน์

เจาะขุมทรัพย์ 189 นักการเมือง "ไพร่" พรรคเพื่อไทย รวยอู้ฟู่ 9,200 ล้าน - ตุนที่ดิน 2.1 หมื่นไร่ !!

สงครามกลางเมือง บนถนนราชดำเนิน กลุ่มคนเสื้อแดง ประกาศว่า นี่คือ การต่อสู้ ระหว่าง ชนชั้นไพร่ กับ ชนชั้นอำมาตย์ แน่นอนว่า ชนชั้นนำที่เป็นอภิสิทธิ์ชน ใครเป็นใคร รวยแค่ไหน ใครๆก็รู้ แต่ปัญหาว่า ไพร่เสื้อแดง ที่อู่ฟู้ สะสมที่ดิน ไม่แพ้อำมาตย์ก็มีไม่น้อย ...ประชาชาติธุรกิจ จะพาไปดู

 

.... ในการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2553 ที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ ประเด็นหนึ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และแกนนำบางคนหยิบยกมากล่าวอ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมในการโค่นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและขับไล่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ คือความแตกต่างในเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย  และ ความแตกต่างในเรื่องความมั่งคั่ง ระหว่าง "ชนชั้นไพร่" กับ "ชนชั้นอำมาตย์" ซึ่งแกนนำมักเปรียบเทียบตนเองเป็น "ชนชั้นไพร่" อยู่ตลอดเวลา 


 แน่นอนว่ามี ส.ส.พรรคเพื่อไทยปัจจุบันและอดีตส.ส.ซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสิทธิ์ห้ามเล่น การเมืองเป็นเวลา 5 ปี (บ้านเลขที่ 111 และ 109)   โดดขึ้นเวทีร่วมขบวน นปช.จำนวนมาก


ขณะที่มีนักวิชาการจำนวนไม่น้อยแสดงความคิดเห็นทำนองว่า  ความแตกต่างชนชั้นในสังคมไทย อาจอยู่มีจริง แต่ตัวอดีตนายกฯ ผู้มั่งคั่ง และ อดีตรัฐมนตรีก็เป็นชนชั้นอำมาตย์ด้วยเหมือนกัน และ ความแตกต่างในเรื่องความมั่งคั่ง ก็ไม่ใช่เพิ่งเกิดในยุคนี้


หากมีมานานแล้ว


 และที่สำคัญนักการเมืองในพรรคเพื่อไทยเอง สะสมความมั่งคั่งไม่แพ้อำมาตย์ด้วยเหมือนกัน


จากตรวจสอบความมั่งคั่งของ ส.ส.พรรคเพื่อไทยตามที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะ กรรมการป้องและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ข้อมูลดังนี้


 ปัจจุบัน พรรคเพื่อไทยมี ส.ส. แบบสัดส่วน และ แบบแข่งเขต รวม  189 คน มีทรัพย์สินทั้งสิ้นประมาณ 9,200 ล้านบาท


 ส.ส. ที่แจ้งว่ามีทรัพย์สินน้อยสุด คือนายสุริยา พรหมดี ส.ส.นครพนม มีเพียง 127 บาท มีหนี้สิน 352,733 บาท รวมมีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน 352,606 บาท


รองลงมา  นายวีระวัฒน์ โอสถานุเคราะห์ ส.ส.กาฬสินธุ์  มี 69,917 บาท หนี้สิน 12,655 บาท รวมมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 57,262 บาท 

 


 นายจักรพรรดิ์ ไชยสาส์น ส.ส.อุดรธานี มี 463,665 บาท หนี้สิน 1,936,846 บาท มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน 1,473,180 บาท


 มี ส.ส. เพื่อไทยกว่า 30 คนมีทรัพย์สินมากกกว่า 100 ล้านบาท


 คนที่มีทรัพย์สินมากสุด  10 อันดับแรก


อับดับ 1 นายชูชาติ หาญสวัสดิ์  (โสด) ส.ส.ปทุมธานี    395.4 ล้านบาท


อับดับ  2  น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์  (โสด ) ส.ส.เชียงใหม่   362.1 ล้านบาท


 อันดับ  3 นายสุชน ชามพูนท  ส.ส.สัดส่วน และ นางเปรมฤดี คู่สมรส 289.6 ล้านบาท


 อันดับ 4 นายนิยม วรปัญญา  (หย่า) ส.ส.ลพบุรี 259.8 ล้านบาท


 อันดับ 5 นางอรุณลักษณ์ กิจเลิศไพโรจน์ ส.ส.สมุทรปราการ เจ้าของห้างอิมพีเรียลเวิรลด์ ลาดพร้าว (ที่ตั้งพีทีวี-ทีวีเสื้อแดง)  และนายสงคราม คู่สมรส   237.6 ล้านบาท


อันดับ 6 นางปานหทัย เสรีรักษ์ ส.ส.แพร่ และ นพ.ทศพร คู่สมรส    236.1 ล้านบาท


อันดับ 7 นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วน และนางกัญญา  คู่สมรส  227 ล้านบาท


อันดับ 8 นางอนุสรา ยังตรง ส.ส.สมุทรปราการ และ นพ.วัลลภ คู่สมรส   212.8 ล้านบาท


อันดับ 9  นายอดิศักดิ์ โภคกุลกานนท์ ส.ส.สัดส่วน และ นางเกศสุดา คู่สมรส   205.7 ล้านบาท


 อันดับ 10  นายมณฑล ไกรวัตนุสสรณ์ ส.ส.สมุทรสาคร และ นางพรใจ  คู่สมรส  181.8 ล้านบาท


อันดับ 11  นายประเกียรติ นาสิมมา ส.ส.สัดส่วน และนางกฤษณา คู่สมรส  193.8 ล้านบาท


อันดับ 12   นางดวงแข อรรณนพพร ส.ส.ขอนแก่น และนายพงศกร คู่สมรส  193.2 ล้านบาท


 อันดับ 13  นายชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ ส.ส.อุบลราชธานี และนางจันทนา คู่สมรส 190.6 ล้านบาท


 อันดับ 14  ว่าที่ร้อยตรีสุเมธ ฤทธาคนี ส.ส.ปทุมธานี และนางเวนิกา  คู่สมรส 189 ล้านบาท


อันดับ 15 นายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล (โสด ) ส.ส.ปทุมธานี  183 ล้านบาท


อันดับ 16  นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กรุงเทพฯ และนางสุพัตรา คู่สมรส      181.5 ล้านบาท


อันดับ 17  ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน และนางลำเนา คู่สมรส  160.5 ล้านบาท


อันดับ 18 นายประชา ประสพดี  ส.ส.สมุทรปราการ และนางนันทวรรณ คู่สมรส 153.9 ล้านบาท


อันดับ 19นายสุรวิทย์  คนสมบูรณ์ ส.ส.ชัยภูมิ  และนางปานทิพย์ คู่สมรส 153.2 ล้านบาท


  อันดับ 20  นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ (โสด)    ส.ส.สัดส่วน    142.4 ล้านบาท


ในจำนวนนี้ 173 คน แจ้งว่ามีที่ดิน  รวมเนื้อที่  21,042 ไร่ มูลค่า 4,755.9 ล้านบาท   ส.ส. ที่มีที่ดิน 100 ไร่ขึ้นไปมีจำนวน 42 คน  มากสุด 10  อันดับแรก ได้แก่ 


 อันดับ 1  นายอำนวย คลังผา  ส.ส.ลพบุรี และ นางละมัย คู่สมรส   206 แปลง  เนื้อที่  2,095-2-96 ไร่   มูลค่า 60.3 ล้านบาท


 อันดับ  2 นายชูชาติ หาญสวัสดิ์  (โสด-62 ปี)   ส.ส.ปทุมธานี  131 แปลง  เนื้อที่  1,900 ไร่ มูลค่า   389.2 ล้านบาท


 อันดับ 3  นายนิยม วรปัญญา  (หย่า) ส.ส.ลพบุรี  399  แปลง เนื้อที่ 1,446-2-50 ไร่  มูลค่า 160 ล้านบาท (ไม่รวมโรงเรือน 57.8 ล้านบาท )


อันดับ 4. นางลินดา เชิดชัย และนางอัสนี เชิดชัย ส.ส.นครราชสีมา    114 แปลง  เนื้อที่  1,249-2-78 ไร่  มูลค่า  94.8 ล้านบาท


 อันดับ 5 นายอดิศักดิ์ โภคกุลกานนท์  ส.ส.สัดส่วน และนางเกศสุดา คู่สมรส   104  แปลง   เนื้อที่ 1,197-0-10 ไร่  มูลค่า 195.6 ล้านบาท


อันดับ 6 นายสุชน ชามพูนท ส.ส.สัดส่วน และนาง เปรมฤดี คู่สมรส    112 แปลง เนื้อที่  1,059-0-39 ไร่   มูลค่า 250.8 ล้านบาท


 อันดับ 7 นายมณฑล ไกรวัตนุสสรณ์  ส.ส.สมุทรสาคร และ นางพรใจ คู่สมรส  95 แปลง เนื้อที่ 761-3-23 ไร่ มูลค่า 168 ล้านบาท


 อันดับ 8  นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง ส.ส.ฉะเชิงเทรา น้องชายเสี่ยอ๋อย-จาตุรนต์ ฉายแสง  29 แปลง  เนื้อที่ 559-0-78 ไร่ มูลค่า  34.2 ล้านบาท


 อันดับ 9  นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์  (หย่า)  ส.ส.ขอนแก่น  60 แปลง  เนื้อที่  507-0-07 ไร่ มูลค่า  22.4 ล้านบาท


อันดับ 10 นายสุรจิตร ยนต์ตระกูล  ส.ส.มหาสารคาม และ นางจารุวรรณ คู่สมรส  33 แปลง  เนื้อที่  346-0-03 ไร่ มูลค่า  46.7 ล้านบาท


 ส่วนประเภทเงินฝาก ส.ส.ที่มีเงินฝากมากสุด 10 อันดับแรก


 อันดับ 1 นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กรุงเทพฯ และ นางสุพัตรา คู่สมรส  รวม 40.7 ล้านบาท


 อันดับ 2 นายอำนวย คลังผา ส.ส.ลพบุรี และ นางละมัย คู่สมรส  39.2 ล้านบาท


 อันดับ 3 นางปานหทัย เสรีรักษ์ ส.ส.แพร่  และ นพ.ทศพร คู่สมรส 30.2 ล้านบาท


อันดับ 4 นายมณฑล ไกรวัตนุสสรณ์ ส.ส.สมุทรสาคร และนางพรใจ  คู่สมรส 24.7 ล้านบาท


อันดับ 5 นายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล (โสด) ส.ส.ปทุมธานี (ย้ายมาจากชาติไทย) 23.7 ล้านบาท


อันดับ 6  ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน  และนางลำเนา คู่สมรส  22.6 ล้านบาท


 อันดับ 7 นายจักริน  พัฒน์ดำรงจิตร   (โสด) ส.ส.ขอนแก่น   22.2 ล้านบาท


 อันดับ 8 นางนันทนา ทิมสุวรรณ  ส.ส.เลย และนายธนเทพ  คู่สมรส  21.1 ล้านบาท


อันดับ 9   นายพฤฒิชัย วิริยะโรจน์ (โสด) ส.ส.สัดส่วน  17.1 ล้านบาท


 อันดับ 10  น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์  (โสด) ส.ส.เชียงใหม่  16 ล้านบาท


สำหรับ ส.ส. ที่มีเงินลงทุนมากอันดับต้นๆ ได้แก่


นางอรุณลักษณ์ กิจเลิศไพโรจน์ และ นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ สามี เป็นเจ้าของหุ้น 57 บริษัท อาทิ  บริษัท อิมพีเรียล ลาดพร้าว จำกัด อิมพีเรียล เรียลเอสเตท จำกัด บริษัท อิมพีเรียลพลาซ่า จำกัด  บริษัท ก.เจริญ โอลดิ้งส์ จำกัด  รวม 178.7 ล้าน


 นางสาวชินณิชา วงศ์สวัสดิ์   ทายาทเจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ มีเงินลงทุน 148 ล้าน ในจำนวนนี้เป็นหุ้น MLINK 128 ล้าน  หุ้น  WIN 12.7 ล้าน หุ้นบมจ.ไทยน็อคสตีล 1.1 ล้าน


 นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์   มีเงินลงทุนใน บริษัท วังเพชรบูรณ์ จำกัด , บมจ.ปิคนิคคอร์ปิเรชั่น , บมจ.โซล่าร์ตรอน  ,บมจ.เพาวเวอร์-พี  ,บมจ.โกลเบล็กโฮลดิงแมเนจเนอร์  รวม 117.8 ล้าน  


นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์   47.9 ล้าน  , นายพฤฒิชัย วิริยะโรจน์  33.7 ล้าน  เป็นต้น


หากสรุปว่า นักการเมืองพรรคเพื่อไทยมีความมั่งคั่ง ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า นักการเมืองพรรคอื่น ก็คงไม่ผิด


ส่วนจะเป็น  "ไพร่จริง หรือ  ไพร่ปลอม"  หรือ เป็นเพียง "วาทะกรรม" ทางการเมือง


เชื่อว่าหลายคนคงมีคำตอบ?   


ที่มา:เว็บไซต์ประชาชาติธุกิจ( http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1269498536&grpid=02&catid=no)

                            http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1269507502&grpid=&catid=02
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
http://www.isriya.com/node/2809
/wordcamp-bangkok-2009-pool-party
C:\Documents and Settings\user\My Documents\ไฟล์ที่ได้รับของฉัน\issarachon1101.wma
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=hiansoon

ตร.สันติบาลเปิดรายชื่อ 78 ผู้สนับสนุนพันธมิตร! ทั้ง'บริษัท-สินค้า-บุคคล' พร้อมใจ'โดนถ้วนหน้า'

ตร.สันติบาลเปิดรายชื่อ 78 ผู้สนับสนุนพันธมิตร! ทั้ง'บริษัท-สินค้า-บุคคล' พร้อมใจ'โดนถ้วนหน้า' พิมพ์ อีเมล์
Monday, 15 December 2008
Image

เปิดรายชื่อ 78 บริษัท-สินค้า-องค์กร-บุคคลต้องสงสัย ที่ "สันติบาล" เชื่อเป็นผู้สนับสนุนม็อบพธม. โดยส่งรายชื่อให้ “พล.ต.อ.ปทีป” แล้ว

รายงานจากกองบัญชาการตำรวจสันติบาล แจ้งว่า เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2551 ที่ผ่านมา ได้ทำรายงานถึง พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) โดยระบุถึงรายชื่อผลิตภัณฑ์ของบริษัทเอกชน เจ้าของกิจการภาคเอกชน และกลุ่มบุคคล บุคคล ที่สงสัยว่าให้การสนับสนุนทุนในการเคลื่อนไหวแก่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ซึ่งประกอบด้วย

1.บริษัทสหพัฒนพิบูล (มาม่า)
2.ผงซักฟอกเปา
3.น้ำยาล้างจานไลปอนเอฟ และไลปอนเลมอน
4.ผลิตภัณฑ์ไฮคลาส
5.ผงซักฟอกโปร
6.ผลิตภัณฑ์กำจัดยุงและแมลงคินโช
7.น้ำยาขจัดคราบไคลไฟท์
8.น้ำยาล้างจานโปร
9.น้ำหอมระบายอากาศฮาน่า
10.ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ลุค
11.ผลิตภัณฑ์โคโดโม
12.ผลิตภัณฑ์เซนต์ แอนดรูว์
13.ยาสีฟันซอลท์
14.โชกุบุสซึ โมโนกาตาริ
15.ซิสเท็มมา
16.สบู่สมุนไพรฟลอเร่
17.ครีมปกป้องผิวช่วงตั้งครรภ์ ไอนิว
18.ไฮเฮิร์บ (บีเอสซี)
19.น้ำตาลทรายมิตรผล
20.ราชาซอลหอยนางรม
21.ผักกาดดองโชมิ
22.ลอตเต้
23.ขนมปังอบกรอบนิสชิน
24.ผลิตภัณฑ์ อสร.
25.บะหมี่นิชชิน
26.กะทิอร่อยดี
27.เกลือปรุงทิพย์
28.น้ำแร่มองต์เฟลอ
29.ผลิตภัณฑ์กุ๊งกิ๊ง โฟร์มี
30.ผลิตภัณฑ์ควิกเชฟ
31.ผลิตภัณฑ์ริชเชส
32.ผลิตภัณฑ์แม่บ้าน
33.ผลิตภัณฑ์หมีพูห์
34.ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ไอเฮลท์ตี้คิวเทน
35.ครีมโฟมล้างหน้าไบโอนิค
36.โอซาร์ บาลานซ์ เวเฟอร์ดเพิ่มสารอาหาร
37.กระดาษเช็ดหน้าบีเอสซี
38.น้ำนมวังน้ำเย็น
39.น้ำผลไม้มิซุ
40.น้ำผลไม้โมกุ
41.ลูกกลิ้งระงับกลิ่นกายมิสทีน
42.แป้งมิสทีน
43.รองเท้าแพนสตาร์
44.ผลิตภัณฑ์ยาซาร่า
45.การบินไทย
46.เบียร์ช้าง
47.จิตรโภชนา ซึ่งเป็นเจ้าของโรงพยาบาลบีแคร์
48.ธนาคารกรุงเทพฯ
49.ธนาคารกสิกรไทย
50.เมืองไทยประกันชีวิต (นายโพธิพงษ์ ล่ำซำ)
51.เมืองไทยประกันชีวิต (นางนวลพรรณ ล่ำซำ)
52.มหาวิทยาลัยรังสิต
53.โรงพยาบาลกรุงเทพฯ
54.เจเพรส
55.เอกไพลิน ริเวอร์แคว กาญจนบุรี
56.เปาเอ็มวอช
57.ก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัดดงมูลเหล็ก
58.เซียงเพียวอิ๋ว
59.จี เน็ต
60.ไออีซี
61.ถั่วตัดกวงเม้ง

Imageขณะที่กลุ่มบุคคลและกลุ่มคนนั้น ประกอบด้วย

62.นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
63.พรรคประชาธิปัตย์
64.กลุ่ม 40 สมาชิกวุฒิสภา และนางรสนา โตสิตระกูล
65.นายกมล กมลตระกูล คอลัมน์นิสต์และนักวิชาการ
66.นักวิชาการ เอ็นจีโอ กลุ่มอดีตนักการเมือง (ส.ว.) รวมทั้งอดีตรัฐมนตรียุคคณะมนตรีความมั่งคงแห่งชาติ
67.ศ.เกริกเกียรติ พิพัฒน์เสรีธรรม
68.นางจิระนันท์ ประเสริฐกุล
69.นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผอ.มูลนิธิเข้าถึงเอดส์
70.นายชัชวาลย์ ทองดีเลิศ
71.นายอภิชาติ ทองอยู่
72.นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
73.นพ.พลเดช ปิ่นประทีป
74.นายประพันธ์ คูณมี
75.นายวิฑูรย์ คูณมี
76.นายสุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
77.นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
78.สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผบ.ตร. ออกมาระบุว่า จะมีการส่งรายชื่อผู้สนับสนุนทางการเงินแก่ม็อบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อทำการตรวจสอบต่อไป เนื่องจากการบุกยึดสนามบินของกลุ่มพันธมิตรฯ เข้าข่ายการก่อการร้ายสากล มีความผิดในมูลฐานเรื่องการฟอกเงิน

http://thaiinsider.info/space/content/view/12985/59/

ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
http://www.isriya.com/node/2809
/wordcamp-bangkok-2009-pool-party
C:\Documents and Settings\user\My Documents\ไฟล์ที่ได้รับของฉัน\issarachon1101.wma
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=hiansoon

วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

ปฏิกิริยาใน"เฟซบุ๊ก"ต่อบทความ "ความอดกลั้นของคนกรุงเทพ ..เขาอยากมาแสดงพลัง เราก็ให้โอกาส"



วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 16:31:00 น.  มติชนออนไลน์

ปฏิกิริยาใน"เฟซบุ๊ก"ต่อบทความ "ความอดกลั้นของคนกรุงเทพ ..เขาอยากมาแสดงพลัง เราก็ให้โอกาส"

ภายหลังจากที่มติชนออนไลน์นำเสนอบทความ "ความอดกลั้นของคนกรุงเทพ ..เขาอยากมาแสดงพลัง เราก็ให้โอกาส" โดย สมชัย ศรีสุทธิยากร ไปเมื่อช่วงเช้าวันที่ 23 มีนาคม ก็มีการแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ต่อบทความดังกล่าวกันอย่างคึกคักในเว็บไซต์ "เฟซบุ๊ก" เราจึงขอคัดเลือกความคิดเห็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับบทความของสมชัยจากชุมชนออนไลน์แห่งนั้นมานำเสนอไว้ ณ ที่นี้


บุญชิต  


เอาเมืองที่สงบสุขของเราคืนมา เราอยากได้กรุงเทพมหานครที่ปลอดภัยและมีรอยยิ้ม เมืองที่เราไปไหนต่อไหนได้โดยไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะมีอันตรายต่อชีวิตหรือ ทรัพย์สิน เมืองที่คนต่างจังหวัดจะมาเยี่ยมญาติหรือท่องเที่ยวอย่างเป็นมิตร ...


เขาทวงผิดเมืองกระมัง ? มันอาจจะเป็นนครเร้นหลอนในซอกฝันของผู้เขียน


คือผมมั่นใจว่ากรุงเทพฯ นั้นไม่เคยมีัอะไรแบบในย่อหน้าข้างต้นเลย


...คงถึงเวลา ที่คนเมืองคงต้องออกมาดำเนินการอะไรบางอย่างบ้าง...


ทำอะไรดี ? ติดริบบิ้นขาว บีบแตรโดยพร้อมเพรียงกัน ? (ซึ่งก็ไม่เคยเห็นใครทำ)


Wiwat


อ่านแล้วรู้สึกคลื่นเหียน และขนหัวลุกในย่อหน้าสุดท้ายครับ


SMELL LIKE KILLING FIELD ′S SPIRITS (รู้สึกได้ถึงกลิ่นไอของเหล่าวิญญาณที่ล่องลอยอยู่บริเวณทุ่งสังหาร - ถอดความโดยมติชนออนไลน์)


Pongpreeda


เอาแค่ชื่อเรื่อง "ความอดกลั้นของคนกรุงเทพ ...เขาอยากมาแสดงพลัง เราก็ให้โอกาส"


ไอ้คำว่า "เรา" น่ะใคร?


Chayanit


อ่านแล้วรู้สึกกระอักกระอ่วน..พะอืดพะอมเหมือนกัน..


เหมือนว่า "เรา" (แค่)สงสาร เพราะจริงๆ แล้วเรา "เหนือ" กว่าเขา..


เราอยากให้ทำอะไรก็ได้ เพื่อให้ได้กรุงเทพที่สงบสุขของเรา (หรือจริงๆ กรุงเทพก็เป็น "ของเขา" พอๆ กับของเรา?!!?) คืนมา..แล้วปล่อยให้ "คนในชนบท" (ที่เราให้โอกาสเขาแล้ว) กลับไปทนทุกข์กับการเบียดเบียนสารพัดจากคนในเมืองในที่ทางของเขาตามเดิม...


แค่นั้นหรอกหรือที่ "เรา" ต้องการ?!!?


Smitthi


วาท(วาด)กรรม กทม. ตจว. ต้องถูกโค่นล้มเสียที (อาจจะต้องก่อนโค่นอมาตนะยะเสียด้วยซ้ำ)จริงๆคนที่กระจายความคิดแบบนี้ไม่ ว่าทางตรงหรือทางอ้อมรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็คือสื่อผู้อ่อนหัดทางปัญญา


Sirote


เห็นด้วยกับความคิดทุกคน แต่ขอตอบนิดและสมิทธิว่าผมเศร้าที่บทความนี้เขียนโดยอาจารย์จากคณะที่พวกเรา เรียนจบกันมา นี่ไม่ใช่โวหาร แต่เป็นความรู้สึกเศร้าจริงๆ


Bas


People should feel sorry for him for showing his ( disgusting ) selfishness in public. I think he should be ashamed to be a so called Bangkokian who never feels any threat living with fully armed troops around the city na ka ajarn...what a peace?!!!


(ประชาชนควรจะรู้สึกเศร้าใจที่ผู้เขียนบทความได้แสดงความเห็นแก่ตัว อันน่าขยะแขยงของตนเองออกสู่สาธารณชน ฉันคิดว่าผู้เขียนควรจะรู้สึกละอายใจ ในฐานะที่เขาเป็นชาวกรุงเทพฯผู้ไม่เคยรู้สึกว่าการดำเนินชีวิตของตนเองถูก คุกคามโดยกองกำลังทหารที่ออกมาประจำการทั่วเมือง นี่มันสันติภาพอะไรกันคะอาจารย์? - ถอดความโดยมติชนออนไลน์)


Natedao


อาจารย์คนนี้ไม่เคยส่งเสริมปชต. สงสัยว่าเป็นองค์กรกลางตรงไหน พูดที่ไหนก็ไม่เคยกลางสักที น่าจะมีใครเอาเรื่องนี้ไปให้แกอ่าน.....
เขียนโดย Jeabkv Tanashaartanya


ชนชั้นกลางอยู่อย่างสุขสบายใน กทม.
มีรถไฟฟ้าใช้ (จากภาษีประชาชน)
มีทางด่วนมากมายเพื่ออำนวยความสะดวก
มีตึกรามสูงใหญ่บ่งบอกถึงความเป็นคนศิวิไลซ์
มีพรรคการเมืองที่ดี มีคุณธรรมสูงส่งแบบกูดี กูถูกอยู่คนเดียว
มี "บุคคล" ระดับสูง ผู้ฮุบป่าสงวนไม่ผิด เพราะคนกทม. ไม่เคยรุกป่าเข้าไปทำมาหากินแล้วต้องติดคุกเหมือนคนต่างจังหวัด
มีเบอร์เกอร์แดกด่วน
มีสปาอบร่ำกลิ่นหอมจรุงของน้ำหอม ราคาแพงระยำ
มีห้างสรรพสินค้าให้เดินเฉิดฉายในชุดแฟชั่นโก้หรูเพื่อหลบร้อน
มี มี มี .....ฯลฯ


เมื่อ คนต่างจังหวัดซึ่ง "ขาด" ทุกอย่างตั้งแต่ระดับเครื่องยังชีพพื้นฐานถึงขั้นจะไม่มีรับประทาน
เค้าย่อมตระหนักถึงชีวิตในวันพรุ่งนี้และวันต่อๆ ไปดีว่า รุ่นลูกรุ่นหลานย่อมไม่พ้นวงเวียนชีวิตแบบนี้
การเรียกร้องความเป็นธรรมในสังคมย่อมเกิดขึ้น
ปัญหาทุกอย่างมันชี้แจงตัวเองชัดเจนถึงเรื่องชนชั้นและสองมาตรฐาน
การ ทำให้รถติดใน กทม. ทำให้ชนชั้นกลางผู้หลอกตัวเองว่าเป็นผู้ศิวิไลซ์ย่อมอดรนทนไม่ได้ เพราะจะพลาดนัดทานมือกลางวันสุดหรูในราคาแพงระยำกว่าแกงหนึ่งหม้อของคนจนที่ กินได้เป็นอาทิตย์
จะพลาดนัดหมอเพื่อศัลยกรรมความงามเพื่อรักษาสิวเม็ดเล็กกว่าเมล็ดงา
จะพลาดนัดชายหนุ่มลูกเศรษฐีระดับพันล้าน (เผื่อจับและดอดเด้าตัวเองขึ้นเป็นเศรษฐีในระดับนั้นบ้าง)
จะพลาดนัดแม่ม่ายสาวไฮโซเจ้าของห้างสรรพสินค้าราคาหลายพันล้าน คาดหมายว่าจะทำตัวเป็นหนูตกถังข้างสาร
จะพลาด.....จะพลาด .....จะพลาด........


ทำให้ชาวชั้นกลางใน กทม. ผู้ศิวิไลซ์เกินจะทนทานได้กับพวกไอ้ตูดบ้านนอกที่เดินขบวนเข้ามาประท้วง มีเรอะที่คนบ้านนอกพวกนั้นจะเข้าใจประชาธิปไตย
เพราะชนชั้นกลางเหล่านี้บอกตัวเองว่า รู้จักประชาธิปไตยดีที่สุด
เพราะแกนนำผู้รดน้ำมนต์ได้อรรถาธิบายไว้อย่างแยบคายว่า


ชาวชนบทมีประชาธิปไตย 4 วินาที
ประชาธิปไตย ไม่ได้หมายความว่าแค่หย่อนบัตรเลือกตั้ง
นักการ เมืองทั้งหลายล้วนแล้วแต่เลวทรามต่ำช้า (แต่เจ้าลัทธิของตัวเองก็ดันตั้งพรรคการเมือง แถมกลืนน้ำลายตัวเองรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคซะอีก)
และ....และ...และ.....


จึงยอมไม่ได้ที่จะให้เกิดความรุนแรงในบ้านเมือง
จึงออกมาเรียกร้องความสงบ
จึงออกมาบอกว่าหยุดทำร้ายประเทศไทย
จึงออกมาบอกว่า.....ว่า.....ว่า..........


โดยหลงลืมไปว่า ตอนสมัยพันธมิตรกระทำการต่ำทรามหยาบช้า
เวลานั้นตนเองทำอะไรอยู่
อยู่ในสปา
อยู่ในห้างฯ
อยู่ในม่านรูด


ปล. นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นโดยไม่มีความหมายใดๆ ไม่พาดพิงถึงใครใดๆ ทั้งสิ้น ใครร้อนตัวอยากรับไปว่าตัวเองเป็นชนชั้นกลางผู้ศิวิไลซ์เหล่านั้น เชิญรับไปตามอัธยาศัย


มูฮัมหมัด


กรุงเทพเป็นของใครกันแน่ครับ
หรือเป็นที่ตักตวงผลประโยชน์ของคนชั้นกลางที่ไม่ประสีประสา
จริยธรรมขั้นพื้นฐาน ความเมตตาเบื้องต้นไปไหนหมดครับ
กรุงเทพคืออะไรหรือครับ คือ การขึ้นรถเมล์ที่ต้องมีประโยคบางประโยคติดไว้ข้างกระจก ต้องคอยบอกให้เสียสละให้คนเด็ก-ชรานั่ง
ดรรชนีชี้วัดคนกรุงเทพฯเบื้องต้นข้อนี้ยังไม่ผ่านเลยครับ
กรุงเทพฯ คือการรีบเร่งใช่ไหม?ครับ
ลุกขึ้นมาสิครับ ลุกขึ้นมา ผมก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่า
กรุงเทพฯ มันเป็นอย่างที่คิดมานานแล้ว
ประชาธิปไตยมีปัญหาเพราะความเป็นลัทธิใจกลางเมืองใช่ไหม?
เราจะยอมกันไหม? หากจะต้องย้ายเมืองหลวงออกไปอยู่ข้างนอกกรุงเทพฯ เอารัฐบาล รัฐสภาไปอยู่ข้างนอก เอากรมทหารไปอยู่ข้างนอก
ส่วนคนกรุงเทพฯ ท่านที่ประสงค์อยู่ในความสงบ ท่านก็ขอให้อยู่ที่เดิม......
อยากใช้ไฟฟ้ามาก ก็ให้ตั้งโรงไฟฟ้านั่นแหละในกรุงเทพฯ
ใช้ไฟมากก็เสียสละกรุงเทพฯให้ตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์สักแห่ง
เอาไหม?...นี่ใช่ไหม? ความเป็นคนกรุงเทพฯ


อย่ารู้สึกเศร้าเลยศิโรตม์ นี่คือความจริง
เขาสร้างพรมแดนของเขาอยู่ในใจ
เขาไม่อาจก้าวข้ามพรมแดนดังกล่าวนี้


Inthira


อ่านแล้วรู้สึกว่าชาวกรุงเทพช่างมีเมตตา กรุณา เปิดกว้าง....คำว่า"เรา"ในชื่อของบทความนี้ช่างแปลกแยกและเย่อหยิ่งเหลือเกิน...

 

มูฮัมหมัด


อย่าไปขโมยกรุงเทพฯ..ของเขา?


Wanitchakorn


ไม่น่าเชื่อว่าเป็นบทความของอาจารย์ Sick (ป่วยไข้-แปลโดยมติชนออนไลน์) มากๆ ดูถูกคนตจว. มาก


Peter


ชอบความเห็นคุณมูฮัมหมัด มากครับ "...เขาสร้างพรมแดนของเขาอยู่ในใจ"


มูฮัมหมัด


ไม่หรอกครับ เขาดูถูกความเป็นมนุษย์เบื้องต้นของเขาเอง
คำพูดย่อมโชว์หัวใจครับ


Saiwaroon


ว่าแต่ทำอะไรซักอย่าง นี่ ลุงจะทำอะไร อพยพไปอยู่จังหวัดอื่น? โยนบอมบ์? แนะนำให้ฟ้องศาลรัฐธรรมนุญ อาจจะชนะก็ได้นะคะ


Natedao


ลุงแกเตรียม "เก้าอี้"* อยู่มั้งคะ


Saiwaroon


ถ้าเตรียม "เก้าอี้" ขอแบบ honeymoon seat นะคะ จะได้แพงสมกับที่เป็นชาวกรุงเทพฯ


มูฮัมหมัด


อย่าไปถือสาอาจารย์แกเลยครับ
นี่คือผลพวงแห่งความผิดพลาดทางประวัติศาสตร์
เป็นความผิดพลาดของระบบการศึกษาไทย
จำได้ไหม? มีหนังสือที่ผมอ่านนานมาแล้ว เรื่องโรงเรียนตายแล้ว ไงครับ
.........................................
แต่เอาเถอะครับ
ถึงตอนนี้มันชวนให้คิดไปว่า คนกรุงเทพฯมีอยู่จริงๆ หรือเปล่า?


Virot


ภรรยาของผมอ่านบทความแล้วบอกว่า คำว่า"เรา" ในบทความนี้คงหมายถึง"อ.สมชัย" คนเดียว และคำว่า"ประชาชน" นั้นหมายถึง"คนในกรุงเทพ" เท่านั้นมั้ง คนอื่นไม่เกี่ยว แบบว่ามาเสือกกะ "คนกรุงเทพ" ทำไม "ไอ้พวกชุมนุม" ที่ไม่ใช่ประชาชน ซ้ำร้ายในตอนจบยังยุยงให้ "คนกรุงเทพ" ออกมาตีกับ "ผู้ชุมนุมเสียอีก" ภรรยาผมยังบอกอีกว่าถ้าจะเขียนบทความ "Discriminate" (แบ่งแยกกีดกันผู้คน-แปลโดยมติชนออนไลน์) กันแบบนี้ ไม่ต้องเขียนดีกว่า เสียสถาบันเปล่าๆ...


Siwawong


เดี๋ยวเค้าก็สวนว่า ได้ เอาเมืองของแกไป พร้อมกับโรงไฟฟ้า เขื่อนกั้นน้ำ และอื่น ๆ อีกมากมาย ..

 

Vissanu


"ความอดกลั้นของคนกรุงเทพ ...เขาอยากมาแสดงพลัง เราก็ให้โอกาส"


ผมคิดว่า ต้องไม่ใช่แค่ให้โอกาสเท่านั้น แต่ทุกคนต้องยอมรับการเคลื่อนไหว เพราะคนที่มาเคลื่อนไหว เขาก็เป็นเจ้าของประเทศคนหนึ่ง มีสิทธิมีเสียงตามรัฐธรรมนูญ ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ


Chiranuch


อยากบอกว่ากรุณาคืนภาษีให้ชนบทเท่ากับที่กรุงเทพฯได้เขมือบกลืนมามาก มายอยู่ชั่วนาตาปี และนี่เป็นท่าทีที่ทำให้องค์กรกลางที่ อ.สมชัย สังกัดอยู่ หมดความชอบธรรมในการที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นองค์กรกลาง

 

Kittipong


FB (เฟซบุ๊ก) น่าจะมีกด unlike (ไม่ชอบ) นะ จะจิ้มใส่ลิ้งค์นี้ (บทความของสมชัย - มติชนออนไลน์) สักสี่สิบครั้ง


เขียนราวกับว่าคนที่ "อาศัย" อยู่ใน กทม. กับนอก กทม. เป็นคนละ species (สายพันธุ์ - มติชนออนไลน์) กัน อ่านแล้วให้ความรู้สึกแบบ Hutu (ฮูตู) กับ Tutsi (ตุดซี่) ใน Rwanda (รวันดา) หากจัดประเภทความรุนแรง บทความนี้น่าจะแรงกว่ายิง M79 อย่างเทียบกันไม่ได้ เพราะ M79 ยิงเสร็จ ระเบิดแล้วก็จบกัน


มาม่า บลูส์


ขออนุญาตหยิบยืมคำนักวิชาการท่านหนึ่งนะครับ บทความชิ้นนี้ ผมยกย่องให้เป็นการ ′ฆ่าตัวตายทางวิชาการ′ แห่งประเทศประจำปีนี้เลย

 

 

*หมายเหตุ สัญลักษณ์ "เก้าอี้" ถูกนำมาใช้ในการแสดงความคิดเห็นตามเว็บบอร์ดการเมืองหลายแห่ง โดยมีความหมายเชื่อมโยงกับการใช้ความรุนแรงในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519

                               http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1269328148&grpid=&catid=02
--
โปรดอ่าน blog
www.pridiinstitute.com
www.nakkhaothai.com
www.pcpthai.org
http://wdpress.blog.co.uk
http://www.cedthai.com/
http://rsm2009-rsm2009.blogspot.com
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
www.youtube.com/user/naiissarachon#p/a/u/0/34ZvscsnCbA

ผู้ติดตาม

คลังบทความของบล็อก

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
http://facthai.wordpress.com/ ต้องรู้เท่าทันในการรับรู้ข่าวสารจากทุกแหล่งข่าว/ FACT - Freedom Against Censorship Thailand กลุ่มเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์แห่งประเทศไทย http://facthai.wordpress.com/ http://twitter.com/jiew