"เชิญชวนทุกท่านร่วมสร้างสรรค์กฎหมายเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน"

อินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน
Blognone
Share |

Suthichai Online - ข่าวประจำวัน

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สายตรงจากกัวลาลัมเปอร์..“เจ้าชายกบภาคพิศดาร “



วันที่ 06 มิถุนายน พ.ศ. 2552 เวลา 13:18:35 น.  มติชนออนไลน์

สายตรงจากกัวลาลัมเปอร์.."เจ้าชายกบภาคพิศดาร "

โดย มุสตาฟา อาลี

สาวใดที่ต้องมนตร์ของเทพนิยายโรแมนติกแบบสาวงามกับเจ้าชายแล้วเผลอฝันกลางวันไปว่า สักวันเจ้าชายในฝันจะเดินเข้ามาสร้างความหวานแหววในชีวิตอันเปล่าเปลี่ยว เดียวดายของตัวเองแล้วไซร้  ขอให้อ่านเรื่องนี้ให้ดีๆ
ป่านนี้สาวงามลูกครึ่งอินโดนีเซีย-อเมริกันเชื้อสายฝรั่งเศสวัยสิบเจ็ดนามว่า มาโนอารา โอเดลิเยร์ ปีโนต์  คงรู้ซึ้งถึงเทพนิยายฝรั่งที่ชื่อว่า "เจ้าชายกบ" ที่เล่าเรื่องหญิงสาวที่บรรจงจูบเจ้ากบน่าเกลียด  แล้วทันใดนั้นเจ้าชายสุดหล่อในฝันก็ปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าแถมยังขอเธอแต่งงาน มีความสุขชั่วนิจนิรันดร..
แต่สำหรับมาโนฮาราที่ใครต่อใครพากันแซ่ซ้อง สรรเสริญว่า สวยหยาดเยิ้มไปทุกมุมแม้ในยามตักข้าวเข้าปาก..  เธอจูบเจ้าชายในฝัน  แต่ไหงองค์ชายจึงกลายเป็นกบตัวเบ้อเริ่มเทิ่มไปเสียได้.. ฮ่าๆๆ
เทพนิยายภาคพิศดารเรื่องนี้ไม่ธรรมดา  เพราะมันโด่งดังไปทั่วโลก  เริ่มจากอินโดนีเซียไปซาอุดีอาระเบีย  ก่อนจะข้ามรั้วเข้าราชสำนักกลันตัน มาเลเซีย  เลี้ยวเข้าสิงคโปร์แล้วเด้งเข้าทำเนียบประธานาธิปดีอินโดนีเซียแบบจังๆ 
เป็นเรื่อง "งามหน้า" ที่ทำลายชื่อเสียงด้านมนุษยธรรมของบุคคลชั้นสูงและรัฐบาลมาเลเซียอย่างยับเยิน  โดยเฉพาะกับประชาชนและรัฐบาลอินโดนีเซียอันเป็นประเทศมุสลิมยักษ์ใหญ่ในภูมิภาค  ที่มีความสัมพันธ์แบบทั้งรักทั้งชังกับมาเลเซียมาตั้งแต่ปีมะโว้ 
หนังสือพิมพ์อินโดนีเซียรายงานข่าวเรื่องนี้อย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมมานานนับเดือน หนังสือพิมพ์ สุรยา ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับแรกๆ ที่เริ่มตีข่าวระบุว่า  มาโนฮาราผู้มาจากครอบครัวผู้มีอันจะกินแห่งจาการ์ต้า  ทำการวิวาห์กับ เติงกู เทอเม็งกอง มูฮัมหมัด ฟาครี  พระราชโอรสองค์ที่สามของสุลต่านแห่งรัฐกลันตัน มาเลเซีย เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว 
หนังสือพิมพ์ฉบับนี้รายงานเรื่องน่าตกใจว่า  การแต่งงานครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เธอถูกเจ้าชายมูฮัมหมัดข่มขืนในคืนส่งท้ายปีเก่าในเดือนธันวาคม 2550  ซึ่งถ้าหากว่า เป็นเรื่องจริงก็เท่ากับว่าเข้าข่ายข่มขืนผู้เยาว์อันเป็นกรณีอาญา !
หลังจากการแต่งงานอย่างเป็นทางการ  เธอตัดสินใจแยกจากสามีเพื่อกลับไปใช้ชีวิตที่อินโดนีเซีย  นางเดซี่ ฟาจารีน่า มารดาของเธอบอกว่า สาเหตุของการกลับอินโดนีเซียมาจากพฤติกรรมรุนแรงของเจ้าชายวัย 31 ต่อลูกสาวของเธอ    ไม่กี่เดือนให้หลังทางราชสำนักได้เชิญมาโนฮาราและครอบครัวให้ร่วมเดินทางไป แสวงบุญยังซาอุดีอาระเบียในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นัยว่า เพื่อความสมานฉันท์ในครอบครั้ว
ในตอนนั้นเองที่นางเดซี่อ้างว่า มาโนฮาราถูกบังคับให้เดินทางกลับกับไปยังกลันตันด้วยเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวของราชสำนัก
ลูกสาวหายไปทั้งคน  ผู้เป็นแม่ไม่ว่า จะจนหรือรวยต้องกินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นธรรมดา นางเดซี่ที่เป็นที่รู้จักกันดีในวง "ไฮโซ" ของอินโดนีเซีย จึงจัดการเดินทางเข้ามาเลเซียเพื่อตามหาลูกสาว  แต่เมื่อถึงสนามบินแห่งชาติ ณ. กรุงกลัวลาลัมเปอร์  เธอกลับถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองกักตัวห้ามเข้าประเทศก่อนจะถูกส่งกลับอินโดนีเซียในวันเดียวกัน
โดนเข้าอย่างนี้คุณแม่ไฮโซอย่างเธอจึงสู้ยิบตาด้วยการออกเดินสายให้สัมภาษณ์สื่อใหญ่น้อยแฉแหลก  แถมยังบอกว่า ผู้อยู่เบื้องหลังการสั่งห้ามเธอเข้าประเทศในครั้งนี้ไม่ใช่อื่นไกล  แต่เป็นพระราชมารดาของมูอัมหมัด และนายนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีแห่งมาเลเซีย !!
มาถึงตอนนี้สื่อในมาเลเซียที่เริ่มระแคะระคายผ่านข่าวจากอินโดนีเซียชักจะหูผึ่ง  จากที่ไม่ค่อยให้ความสนใจก็เริ่มสนใจขึ้นมาเพราะมีชื่อคนดังเข้ามาเกี่ยว ข้อง    ที่สำคัญคือข้อมูลจากอินโดนีเซียบอกว่า  มาโนฮาราพบกับเจ้าชายมูฮัมหมัดเป็นครั้งแรกในงานเลี้ยงรับรองที่จัดโดยนายนาจิบ ราซัค  ในเดือนธันวาคม ปี 2549
อาจจะเป็นโชคร้ายของนายนาจิบที่ชักจะมีชื่อพัวพันกับนางแบบที่ประสบชะตากรรมในมาเลเซียถึงสองคนซ้อน ยังไม่ทันที่ข่าวสังหารโหดนางแบบสาวมองโกเลีย "อัลตันตูยา" จะหายไปจากความทรงจำ กรณีมาโนฮาราก็โผล่ขึ้นมาให้กลุ้มใจเล่น
ที่สำคัญคือร่องรอยของการใช้อำนาจในการละเมิดสิทธิพื้นฐานของประชาชน  เช่นกรณี การเข้าเมืองของนางเดซี่  และกรณีของอัลตันตูยาเองซึ่งมีข่าวกระเซ็นกระสายมาว่า เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองมาเลเซียพยายามลบหลักฐานการเข้าประเทศของเธอออกจากฐานข้อมูลเพื่อจะได้มีผลต่อรูปคดี    พูดง่ายๆคือจะได้อ้างเอาดื้อๆว่าไม่เคยมีผู้หญิงที่ชื่ออัลตันตูยาเดินทางเข้ามาเลเซียจริงจริ้ง...
ชะรอยนางเดซี่คงจะกลัวว่า ลูกสาวจะจ่อคิวหายตัวเป็นรายต่อไป  เธอจึงใช้ยุทธการตีปี๊บโวยวาย  ให้สัมภาษณ์ดะ ซึ่งหนังสือพิมพ์หัวสีในมาเลเซียเริ่มรับลูก  ทยอยอ้างรายงานข่าวของสื่ออินโดนีเซียกันเป็นแถว 
ผู้มีอิทธิพลของมาเลเซียอาจนั่งทับสื่อในประเทศของตัวเองมานานจนลืมไปว่า สื่อสมัยนี้ข้ามพรมแดนกันได้  โดยเฉพาะมาเลเซียและอินโดนีเซียซึ่งใช้ภาษามลายูเป็นภาษาหลัก    นับว่า มาโนฮาราคนสวยจะโชคดีกว่า อัลตันตูยาอยู่ไม่น้อยเพราะยุทธการเดินหน้าชนของคุณแม่ที่ยึดพื้นที่สื่อได้ แบบเรตติ้งกระฉูด  เป็นการป้องกันการ "อุ้ม" ไปในตัว
ทางกลันตันที่ดูเหมือนจะยึดนโยบายใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวจำต้องงัด เคล็ดวิชาเข้าตอบโต้ด้วยส่งคนเข้าแจ้งตำรวจกรณีหนังสือพิมพ์ภายในประเทศลงข่าวอันเป็นการหมิ่นประมาท  แล้วจัดการปล่อยภาพมาโน ฮาราในชุดแบบหญิงมุสลิมควงคู่เจ้าชายมูอัมหมัดออกงานต่างๆ  เป็นการยืนยันว่า ชีวิตในรั้วในวังของเธอนั้นราบรื่นมีความสุข    ในขณะเดียวกันก็มีเสียงกระซิบตามบล็อกบางบล็อกว่า เรื่องราวทั้งหลายทั้งปวงเกิดจากการปั้นแต่งของนางเดซี่มารดาผู้ "หิวเงิน" เท่านั้น
ชีวิตในวังของรัฐเล็กๆ อย่างกลันตันจะเป็นอย่างไรคงไม่มีใครรู้ถ้าเธอไม่ได้ติดตามสามีไปเยี่ยมสุลต่านแห่งกลันตันซึ่งทรงรับการรักษาจากอาการประชวน อยู่ที่สิงคโปร์ 
เรื่องราวการหลบหนีของเธอจากการควบคุมของสามีที่โรงแรมใหญ่ในสิงคโปร์ ซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสิงคโปร์ สถานทูตอินโดนีเซีย และสถานทูตอเมริกัน และมารดาที่ติดตามไปถึงสิงคโปร์ตกเป็นข่าวไปทั่วโลก  มาโนฮาราโบกมืออำลาเจ้าชายแล้วเดินทางกลับจาการ์ต้าในทันที
ในการแถลงข่าวที่จาการ์ต้าซึ่งเธอพูดเป็นภาษาอังกฤษและมลายู  มาโนฮารายืนยันข้อมูลที่มารดาให้สัมภาษณ์ต่อสื่อก่อนหน้านี้โดยกล่าวว่า เธอถูกขังอยู่ในห้องแทบจะตลอดเวลา  "เขา (เจ้าชาย) เข้ามาแล้วก็ทำอะไรอย่างที่เขาอยากทำกับฉันแล้วก็ออกไป.. เขาทำกับฉันเหมือนเป็นสัตว์  ไม่มีการเคารพสิทธิแม้แต่น้อย" 
การแถลงข่าวของเธอนับว่า มีอิทธิพลไม่น้อย  คลิปแถลงข่าวที่หนังสือพิมพ์ออนไลน์ในมาเลเซียนำมาเสนอมียอดผู้เข้าชมสูงถึง กว่าแสนในวันเดียว งานนี้เล่นเอารัฐบาลมาเลเซียเสียศูนย์  รัฐมนตรีต่างๆ ออกมาให้สัมภาษณ์อย่างไม่เป็นกระบวนเริ่มจาก นายฮิชามุดดิน ฮุซเซน รัฐมนตรีมหาดไทยที่บอกว่า รัฐบาลมาเลเซียยินดีจะสืบสวนเรื่องนี้ ถ้ามีการแจ้งความ  แต่เนื่องจากยังเห็นมีใครมาแจ้งความเล้ย..  แถมยังลามปามไปสั่งสื่ออินโดนีเซียว่าอย่าใส่สีตีไข่ให้มากนัก 
ในขณะที่รองนายกฯ มูยิดดิน ยาซิน บอกเอาดื้อๆว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวที่รัฐบาลมาเลเซียไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย
สรุปง่ายๆว่าเรื่องผัวๆเมียๆ  ข้าพเจ้าไม่เกี่ยว..
แต่ดูท่ารัฐบาลอินโดนีเซียจะยืนอยู่คนละจุดกับคู่กรณี  เพราะในที่สุด ประธานาธิปดี สุสิโล บัมบัง ยุทธโดโยผู้ซึ่งคาดว่า จะได้รับคะแนนนำลิ่วในการเลือกตั้งประธานาธิปดีในเดือนหน้า  ก็ออกมาให้สัมภาษณ์อย่างเป็นทางการ  ขีดเส้นแบ่งชัดเจนระหว่างเรื่องภายในครอบครัวกับปัญหาละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยบอกว่า แม้ว่าเรื่องระหว่างสามีภรรยาจะเป็นเรื่องส่วนตัวซึ่งประธานาธิปดีไม่มี สิทธิจะก้าวก่าย  แต่กรณีมาโนฮาราได้กลายเป็นประเด็นสาธารณะที่ตนเองไม่อาจละเลยได้
นาย สุสิโลกล่าวว่า ตนเองได้สั่งการให้เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำกรุงกัวลาลัมเปอร์  ยื่นหนังสือประท้วงต่อกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซีย  ในฐานะที่มาโนฮาราเป็นพลเมืองอินโดนีเซียซึ่งมีสิทธิได้รับการคุ้มครองจากรัฐ 
"ผมได้สั่งการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่าง ประเทศและทูตอินโดนีเซียให้ดำเนินการในเรื่องนี้อย่างดีที่สุด และมีเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างเรื่องภายในครอบครัวและประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นประเด็นที่ (รัฐ) สามารถเข้าแทรกแซงได้.." ประธานาธิปดีสุสิโล
แม้ว่าผู้นำรัฐบาลอินโดนีเซียจะออกมาพูดจังๆ แบบไม่ไว้หน้ากันแล้วแล้ว  ไม่มึใครคาดหวังว่านายกฯ นาจิบ ราซัคแห่งมาเลเซียจะออกมาเอ่ยเอื้อนแสดงความรับผิดชอบหรือขออภัยใดๆ ทั้งสิ้น ต่อให้มาเลเซียจะมีภาพพจน์ของ "หลุมดูดนางแบบ" เข้าไปทุกวัน

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1244269364&grpid=01&catid=06


See all the ways you can stay connected to friends and family

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ติดตาม

คลังบทความของบล็อก

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
http://facthai.wordpress.com/ ต้องรู้เท่าทันในการรับรู้ข่าวสารจากทุกแหล่งข่าว/ FACT - Freedom Against Censorship Thailand กลุ่มเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์แห่งประเทศไทย http://facthai.wordpress.com/ http://twitter.com/jiew