|
สายตรงจากกัวลาลัมเปอร์.."เจ้าชายกบภาคพิศดาร "
โดย มุสตาฟา อาลี
สาวใดที่ต้องมนตร์ของเทพนิยายโรแมนติกแบบสาวงามกับเจ้าชายแล้วเผลอฝันกลางวันไปว่า สักวันเจ้าชายในฝันจะเดินเข้ามาสร้างความหวานแหววในชีวิตอันเปล่าเปลี่ยว เดียวดายของตัวเองแล้วไซร้ ขอให้อ่านเรื่องนี้ให้ดีๆ
ป่านนี้สาวงามลูกครึ่งอินโดนีเซีย-อเมริกันเชื้อสายฝรั่งเศสวัยสิบเจ็ดนามว่า มาโนอารา โอเดลิเยร์ ปีโนต์ คงรู้ซึ้งถึงเทพนิยายฝรั่งที่ชื่อว่า "เจ้าชายกบ" ที่เล่าเรื่องหญิงสาวที่บรรจงจูบเจ้ากบน่าเกลียด แล้วทันใดนั้นเจ้าชายสุดหล่อในฝันก็ปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าแถมยังขอเธอแต่งงาน มีความสุขชั่วนิจนิรันดร..
แต่สำหรับมาโนฮาราที่ใครต่อใครพากันแซ่ซ้อง สรรเสริญว่า สวยหยาดเยิ้มไปทุกมุมแม้ในยามตักข้าวเข้าปาก.. เธอจูบเจ้าชายในฝัน แต่ไหงองค์ชายจึงกลายเป็นกบตัวเบ้อเริ่มเทิ่มไปเสียได้.. ฮ่าๆๆ
เทพนิยายภาคพิศดารเรื่องนี้ไม่ธรรมดา เพราะมันโด่งดังไปทั่วโลก เริ่มจากอินโดนีเซียไปซาอุดีอาระเบีย ก่อนจะข้ามรั้วเข้าราชสำนักกลันตัน มาเลเซีย เลี้ยวเข้าสิงคโปร์แล้วเด้งเข้าทำเนียบประธานาธิปดีอินโดนีเซียแบบจังๆ
เป็นเรื่อง "งามหน้า" ที่ทำลายชื่อเสียงด้านมนุษยธรรมของบุคคลชั้นสูงและรัฐบาลมาเลเซียอย่างยับเยิน โดยเฉพาะกับประชาชนและรัฐบาลอินโดนีเซียอันเป็นประเทศมุสลิมยักษ์ใหญ่ในภูมิภาค ที่มีความสัมพันธ์แบบทั้งรักทั้งชังกับมาเลเซียมาตั้งแต่ปีมะโว้
หนังสือพิมพ์อินโดนีเซียรายงานข่าวเรื่องนี้อย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมมานานนับเดือน หนังสือพิมพ์ สุรยา ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับแรกๆ ที่เริ่มตีข่าวระบุว่า มาโนฮาราผู้มาจากครอบครัวผู้มีอันจะกินแห่งจาการ์ต้า ทำการวิวาห์กับ เติงกู เทอเม็งกอง มูฮัมหมัด ฟาครี พระราชโอรสองค์ที่สามของสุลต่านแห่งรัฐกลันตัน มาเลเซีย เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว
หนังสือพิมพ์ฉบับนี้รายงานเรื่องน่าตกใจว่า การแต่งงานครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เธอถูกเจ้าชายมูฮัมหมัดข่มขืนในคืนส่งท้ายปีเก่าในเดือนธันวาคม 2550 ซึ่งถ้าหากว่า เป็นเรื่องจริงก็เท่ากับว่าเข้าข่ายข่มขืนผู้เยาว์อันเป็นกรณีอาญา !
หลังจากการแต่งงานอย่างเป็นทางการ เธอตัดสินใจแยกจากสามีเพื่อกลับไปใช้ชีวิตที่อินโดนีเซีย นางเดซี่ ฟาจารีน่า มารดาของเธอบอกว่า สาเหตุของการกลับอินโดนีเซียมาจากพฤติกรรมรุนแรงของเจ้าชายวัย 31 ต่อลูกสาวของเธอ ไม่กี่เดือนให้หลังทางราชสำนักได้เชิญมาโนฮาราและครอบครัวให้ร่วมเดินทางไป แสวงบุญยังซาอุดีอาระเบียในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นัยว่า เพื่อความสมานฉันท์ในครอบครั้ว
ในตอนนั้นเองที่นางเดซี่อ้างว่า มาโนฮาราถูกบังคับให้เดินทางกลับกับไปยังกลันตันด้วยเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวของราชสำนัก
ลูกสาวหายไปทั้งคน ผู้เป็นแม่ไม่ว่า จะจนหรือรวยต้องกินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นธรรมดา นางเดซี่ที่เป็นที่รู้จักกันดีในวง "ไฮโซ" ของอินโดนีเซีย จึงจัดการเดินทางเข้ามาเลเซียเพื่อตามหาลูกสาว แต่เมื่อถึงสนามบินแห่งชาติ ณ. กรุงกลัวลาลัมเปอร์ เธอกลับถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองกักตัวห้ามเข้าประเทศก่อนจะถูกส่งกลับอินโดนีเซียในวันเดียวกัน
โดนเข้าอย่างนี้คุณแม่ไฮโซอย่างเธอจึงสู้ยิบตาด้วยการออกเดินสายให้สัมภาษณ์สื่อใหญ่น้อยแฉแหลก แถมยังบอกว่า ผู้อยู่เบื้องหลังการสั่งห้ามเธอเข้าประเทศในครั้งนี้ไม่ใช่อื่นไกล แต่เป็นพระราชมารดาของมูอัมหมัด และนายนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีแห่งมาเลเซีย !!
มาถึงตอนนี้สื่อในมาเลเซียที่เริ่มระแคะระคายผ่านข่าวจากอินโดนีเซียชักจะหูผึ่ง จากที่ไม่ค่อยให้ความสนใจก็เริ่มสนใจขึ้นมาเพราะมีชื่อคนดังเข้ามาเกี่ยว ข้อง ที่สำคัญคือข้อมูลจากอินโดนีเซียบอกว่า มาโนฮาราพบกับเจ้าชายมูฮัมหมัดเป็นครั้งแรกในงานเลี้ยงรับรองที่จัดโดยนายนาจิบ ราซัค ในเดือนธันวาคม ปี 2549
อาจจะเป็นโชคร้ายของนายนาจิบที่ชักจะมีชื่อพัวพันกับนางแบบที่ประสบชะตากรรมในมาเลเซียถึงสองคนซ้อน ยังไม่ทันที่ข่าวสังหารโหดนางแบบสาวมองโกเลีย "อัลตันตูยา" จะหายไปจากความทรงจำ กรณีมาโนฮาราก็โผล่ขึ้นมาให้กลุ้มใจเล่น
ที่สำคัญคือร่องรอยของการใช้อำนาจในการละเมิดสิทธิพื้นฐานของประชาชน เช่นกรณี การเข้าเมืองของนางเดซี่ และกรณีของอัลตันตูยาเองซึ่งมีข่าวกระเซ็นกระสายมาว่า เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองมาเลเซียพยายามลบหลักฐานการเข้าประเทศของเธอออกจากฐานข้อมูลเพื่อจะได้มีผลต่อรูปคดี พูดง่ายๆคือจะได้อ้างเอาดื้อๆว่าไม่เคยมีผู้หญิงที่ชื่ออัลตันตูยาเดินทางเข้ามาเลเซียจริงจริ้ง...
ชะรอยนางเดซี่คงจะกลัวว่า ลูกสาวจะจ่อคิวหายตัวเป็นรายต่อไป เธอจึงใช้ยุทธการตีปี๊บโวยวาย ให้สัมภาษณ์ดะ ซึ่งหนังสือพิมพ์หัวสีในมาเลเซียเริ่มรับลูก ทยอยอ้างรายงานข่าวของสื่ออินโดนีเซียกันเป็นแถว
ผู้มีอิทธิพลของมาเลเซียอาจนั่งทับสื่อในประเทศของตัวเองมานานจนลืมไปว่า สื่อสมัยนี้ข้ามพรมแดนกันได้ โดยเฉพาะมาเลเซียและอินโดนีเซียซึ่งใช้ภาษามลายูเป็นภาษาหลัก นับว่า มาโนฮาราคนสวยจะโชคดีกว่า อัลตันตูยาอยู่ไม่น้อยเพราะยุทธการเดินหน้าชนของคุณแม่ที่ยึดพื้นที่สื่อได้ แบบเรตติ้งกระฉูด เป็นการป้องกันการ "อุ้ม" ไปในตัว
ทางกลันตันที่ดูเหมือนจะยึดนโยบายใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวจำต้องงัด เคล็ดวิชาเข้าตอบโต้ด้วยส่งคนเข้าแจ้งตำรวจกรณีหนังสือพิมพ์ภายในประเทศลงข่าวอันเป็นการหมิ่นประมาท แล้วจัดการปล่อยภาพมาโน ฮาราในชุดแบบหญิงมุสลิมควงคู่เจ้าชายมูอัมหมัดออกงานต่างๆ เป็นการยืนยันว่า ชีวิตในรั้วในวังของเธอนั้นราบรื่นมีความสุข ในขณะเดียวกันก็มีเสียงกระซิบตามบล็อกบางบล็อกว่า เรื่องราวทั้งหลายทั้งปวงเกิดจากการปั้นแต่งของนางเดซี่มารดาผู้ "หิวเงิน" เท่านั้น
ชีวิตในวังของรัฐเล็กๆ อย่างกลันตันจะเป็นอย่างไรคงไม่มีใครรู้ถ้าเธอไม่ได้ติดตามสามีไปเยี่ยมสุลต่านแห่งกลันตันซึ่งทรงรับการรักษาจากอาการประชวน อยู่ที่สิงคโปร์
เรื่องราวการหลบหนีของเธอจากการควบคุมของสามีที่โรงแรมใหญ่ในสิงคโปร์ ซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสิงคโปร์ สถานทูตอินโดนีเซีย และสถานทูตอเมริกัน และมารดาที่ติดตามไปถึงสิงคโปร์ตกเป็นข่าวไปทั่วโลก มาโนฮาราโบกมืออำลาเจ้าชายแล้วเดินทางกลับจาการ์ต้าในทันที
ในการแถลงข่าวที่จาการ์ต้าซึ่งเธอพูดเป็นภาษาอังกฤษและมลายู มาโนฮารายืนยันข้อมูลที่มารดาให้สัมภาษณ์ต่อสื่อก่อนหน้านี้โดยกล่าวว่า เธอถูกขังอยู่ในห้องแทบจะตลอดเวลา "เขา (เจ้าชาย) เข้ามาแล้วก็ทำอะไรอย่างที่เขาอยากทำกับฉันแล้วก็ออกไป.. เขาทำกับฉันเหมือนเป็นสัตว์ ไม่มีการเคารพสิทธิแม้แต่น้อย"
การแถลงข่าวของเธอนับว่า มีอิทธิพลไม่น้อย คลิปแถลงข่าวที่หนังสือพิมพ์ออนไลน์ในมาเลเซียนำมาเสนอมียอดผู้เข้าชมสูงถึง กว่าแสนในวันเดียว งานนี้เล่นเอารัฐบาลมาเลเซียเสียศูนย์ รัฐมนตรีต่างๆ ออกมาให้สัมภาษณ์อย่างไม่เป็นกระบวนเริ่มจาก นายฮิชามุดดิน ฮุซเซน รัฐมนตรีมหาดไทยที่บอกว่า รัฐบาลมาเลเซียยินดีจะสืบสวนเรื่องนี้ ถ้ามีการแจ้งความ แต่เนื่องจากยังเห็นมีใครมาแจ้งความเล้ย.. แถมยังลามปามไปสั่งสื่ออินโดนีเซียว่าอย่าใส่สีตีไข่ให้มากนัก
ในขณะที่รองนายกฯ มูยิดดิน ยาซิน บอกเอาดื้อๆว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวที่รัฐบาลมาเลเซียไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย
สรุปง่ายๆว่าเรื่องผัวๆเมียๆ ข้าพเจ้าไม่เกี่ยว..
แต่ดูท่ารัฐบาลอินโดนีเซียจะยืนอยู่คนละจุดกับคู่กรณี เพราะในที่สุด ประธานาธิปดี สุสิโล บัมบัง ยุทธโดโยผู้ซึ่งคาดว่า จะได้รับคะแนนนำลิ่วในการเลือกตั้งประธานาธิปดีในเดือนหน้า ก็ออกมาให้สัมภาษณ์อย่างเป็นทางการ ขีดเส้นแบ่งชัดเจนระหว่างเรื่องภายในครอบครัวกับปัญหาละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยบอกว่า แม้ว่าเรื่องระหว่างสามีภรรยาจะเป็นเรื่องส่วนตัวซึ่งประธานาธิปดีไม่มี สิทธิจะก้าวก่าย แต่กรณีมาโนฮาราได้กลายเป็นประเด็นสาธารณะที่ตนเองไม่อาจละเลยได้
นาย สุสิโลกล่าวว่า ตนเองได้สั่งการให้เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำกรุงกัวลาลัมเปอร์ ยื่นหนังสือประท้วงต่อกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซีย ในฐานะที่มาโนฮาราเป็นพลเมืองอินโดนีเซียซึ่งมีสิทธิได้รับการคุ้มครองจากรัฐ
"ผมได้สั่งการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่าง ประเทศและทูตอินโดนีเซียให้ดำเนินการในเรื่องนี้อย่างดีที่สุด และมีเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างเรื่องภายในครอบครัวและประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นประเด็นที่ (รัฐ) สามารถเข้าแทรกแซงได้.." ประธานาธิปดีสุสิโล
แม้ว่าผู้นำรัฐบาลอินโดนีเซียจะออกมาพูดจังๆ แบบไม่ไว้หน้ากันแล้วแล้ว ไม่มึใครคาดหวังว่านายกฯ นาจิบ ราซัคแห่งมาเลเซียจะออกมาเอ่ยเอื้อนแสดงความรับผิดชอบหรือขออภัยใดๆ ทั้งสิ้น ต่อให้มาเลเซียจะมีภาพพจน์ของ "หลุมดูดนางแบบ" เข้าไปทุกวัน
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1244269364&grpid=01&catid=06
See all the ways you can stay connected to friends and family
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น