ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด (1) 
  
                "วิกฤติครั้งนี้เป็นวิกฤติทางปัญญาของโลก (intellectual crisis) ซึ่งเป็นผลจากการปฏิเสธที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง  และที่สำคัญที่สุดคือการปฏิเสธที่คิดจะแก้ไขปัญหาจากเศรษฐกิจที่แท้จริง (real economy)" (ทักษิณ   ชินวัตร) 
                "ในวิกฤติเศรษฐกิจโลกก่อให้เกิดภัยคุกคามทางด้านความมั่นคงได้ดังนี้ 1.กระแสสูงของความขัดแย้งต่อสู้ทางชนชั้นและการปฏิวัติสังคมในประเทศต่างๆ 2.การไต่ระดับการแย่งชิงแข่งขันทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศทุนนิยมทั้งหลายอาจถึงขั้นก่อสงคราม และ3.มีการต่อต้าน ท้าทายอำนาจนำทางอุดมการณ์ของทุนนิยมสหรัฐฯในขอบเขตทั่วโลก (พล.ร.อ.เดนนิส   แบลร์   ผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติ สหรัฐฯ สรุปโดย เกษียร  เตชะพีระ) 
                "ปัญญา-เกิดขึ้นจากความทุกข์ยากของมนุษย์   ในท่ามกลางความปั่นป่วนของสังคม" (วิชาปรัชญา โดย สมัคร   บุราวาส) 
                ในวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากสังคมสหรัฐฯที่ถือว่า เป็นจักรวรรดิ์ของระบบทุนนิยมได้สร้างความตื่นตระหนกถึงขั้นที่ว่า  จะเกิดการล่มสลาย-ได้สร่างซาลงด้วยความหวังเล็กๆจากตัวเลขทางเศรษฐกิจ  ชี้วัดให้อุ่นใจว่า  วิกฤติทางเศรษฐกิจครั้งนี้ได้ลงถึงจุดต่ำสุดแล้ว  และกำลังจะข้ามพ้นไปประมาณปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 
                และถ้าจะถามว่า  การร่วมไม้ร่วมมือกันของประเทศมหาอำนาจมีอะไรสดใหม่ที่ก่อให้เกิด "นวัตกรรมใหม่ทางเศรษฐกิจ"หรือไม่ คงจะตอบได้ว่า เป็นการแก้ไขวิกฤติด้านเทคนิคทางเศรษฐกิจ-การเงินการคลัง  เสียมากกว่า 
                ซึ่งหนีไม่พ้นกรอบของสำนัก "เคนส์นีเซียน" (Keynesian School) ที่กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการสร้างอุปสงค์มวลรวมประชาชาติขึ้นมา   จนประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เมื่อปี 1930 เมื่อครั้งวิกฤติเศรษฐกิจโลก 
                ครั้งนี้จึงยังไม่ถึงขั้นที่จะก่อให้เกิด "ปัญญา" ขึ้นมาจริง-จริง   ทั้งโอบามาและมาร์ค... 
                นั่นก็หมายถึงว่า  เราจะต้องเฝ้าดูต่อไปว่า  วิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้จะจบลงจริงหรือไม่  แค่ไหน  อย่างไร  หรือจะเกิด "ปัญญาใหม่"  ถึงขั้นกำเนิดนวัตกรรมทางเศรษฐศาสตร์   เพื่อปฏิวัติระบบทุนนิยมอีกครั้งหนึ่งหรือไม่ 
                ส่วนตัวเลขทางเศรษฐกิจของเรา จีดีพี-ไตรมาศแรกติดลบ 7.1 เปอร์เซ็นต์  และคาดว่าไตรมาศ 4 จะพลิกกลับมาที่บวกด้วยเม็ดเงินที่ทุ่มลงไปในระบบเศรษฐกิจหลายแสนล้านบาท  แต่อย่าลืมว่า   ที่ตัวเลขเป็นบวกนั้นนะมันไปเทียบกับตัวเลขในไตรมาศที่ 4 ของปี 2551 ที่ติดลบอยู่ 4.1 คือ ฐานมันต่ำนั่นเอง 
                ด้านผลกระทบทางสังคมตัวเลขคนตกงานมีการประมาณว่าจะอยู่ที่ 2 ล้านคน  แต่เมื่อระบบเศรษฐกิจการผลิตเริ่มเคลื่อนตัวดีดขึ้น  การผลิตที่เคยลดลงเหลือ 50 เปอร์เซ็นต์   ได้ขยับศักยภาพการผลิตขึ้นไปเป็น 60 เปอร์เซ็นต์ก็นับว่าจะเห็นแนวโน้มที่ดีขึ้น  เมื่อการผลิตเพิ่มขึ้นจึงวาดหวังว่า  จะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น  นั่นก็คือ ภาคเศรษฐกิจบางภาคจะมีการเรียกคนงานกลับเข้าทำงานอีกครั้งหนึ่ง  จึงต้องดูตัวเลขคนตกงานจริงว่าเป็นอย่างไร  และเมื่อคนตกงานจริงไม่มากดังคาดปัญหาสังคมก็น่าจะลดลง 
                ประกอบกับลักษณะของสังคมเราไม่เหมือนประเทศตะวันตกที่มีความเป็นปัจเจกชนสูง   ทำให้ลดทอนความเหี้ยมเกรียมของระบบทุนนิยมลงไปได้   ไม่ว่าจะเป็นสังคมอุปถัมภ์ที่เอื้ออาทรต่อกัน   ตามแนวคิดของสังคมเกษตรกรรมที่ยังค้างคาอยู่   การปลูกฝังของวัฒนธรรมชาวพุทธนานนับพันปี  แนวคิดแบบเศรษฐกิจพอเพียง  เหล่านี้จะยึดโยง-ร้อยรัดให้เราไม่เกิดปัญหาสังคมที่รุนแรงเมื่อเปรียบเทียบกับสังคมเสรีนิยม-บริโภคนิยม  แบบตัวใครตัวมัน 
                สิ่งที่รุนแรงถึงขั้นวิกฤติของเราคือ ปัญหาทางการเมืองที่ถาโถมอย่างไม่เกรงอกเกรงใจหน้าอินทร์หน้าพรหมหรือแม้แต่เทวดาหน้าใดของเหล่านักการเมือง  เหล่าขุนศึก-ทหารและมวลชนนักเคลื่อนไหวหลากสี   ซึ่งได้ตอกลิ่มส่งผลต่อสถาบัน  ต่อระบบการเมือง  ถึงขนาดลงลึกภายในครอบครัว  แตกแนวคิด-แตกขั้ว  จวนเจียนจะรบราฆ่าฟันกันแบบสงครามกลางเมือง 
                วินาทีนี้  ความร้าวฉานมันยังไม่จบลง เพียงแต่หยุดเพื่อหายใจและเป็นการซื้อเวลา-ดูเชิง เพื่อที่จะเดินหน้าเปิดเกมรุกรบอีกครั้งหนึ่ง  การต่อสู้ครั้งใหม่นี้มันจะซับซ้อนขึ้น  ขยายวงมากขึ้น   หรืออาจจะรุนแรงขึ้น  ถ้าความคับแค้นในจิตใจยังไม่รับการบำบัดด้วยความเป็นธรรม 
                และก็ต้องยอมรับว่า  สังคมเราแตกขั้วหากมองแบบหยาบ-หยาบจะได้เป็นชนชั้นกลางและชนชั้นสูงในสังคมเมืองกับชนชั้นรากหญ้าในสังคมชนบท  โดยมีพลังขับดันเปิดเวทีต่อสู้ทั้งในระบบรัฐสภา ระบบข้างถนนและในมุมมืด   ทั้งหลากหลายมิติ  ทั้งภายในและภายนอกประเทศ 
                "อำนาจรัฐ" ที่ถูกยึดกุมโดยพรรคแนวอนุรักษ์นิยมที่เก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์   ก็ยังคงสะท้อนแนวคิดและความเชื่อผ่านการผลิตนโยบายสาธารณะที่ดู "ทื่อ"  หาใช่นวัติกรรมใหม่ทางนโยบายสาธารณะอันทันสมัยเหมาะสมลงตัวในบริบทของสังคม ยุค 2009 ไม่ 
                อย่างไรก็ดี  จะต้องยอมรับกระบวนการ "ดูดซับ"  ทั้งปัญหาและความขัดแย้งทางการเมืองของ คุณอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ ผู้นำรัฐนาวา   ด้วยการผลักดันเข้าสู่เวทีรัฐสภาพร้อมทั้งสร้างองค์การอย่าง "คณะกรรมการสมานฉันท์" ขึ้นมา  จนสามารถ "ลดทอน" ความร้อนแรงของการต่อสู้ลงได้ในระดับที่คาดหวังได้-ไม่เสียเปล่า 
                และคณะกรรมการชุดนี้ก็ผลิตแนวทางเพื่อแก้ไขปัญหาออกมาอยู่ในขั้นที่น่าพอใจ  ส่วนในเรื่องที่ว่าด้วยการปฏิบัติให้เป็นจริง  ก็เป็นเรื่องที่จะท้าทายทั้งองค์การของคณะกรรมการสมานฉันท์เอง   ทั้งระบบรัฐสภาและระบบการเมือง  หรืออาจจะกล่าวถึงระบบสังคมทั้งระบบด้วย 
                เหล่านี้ไม่ได้หมายถึงว่า  จะปราศจากความขัดแย้ง  ความเห็นที่แตกต่าง  หรือไร้ชนชั้นในโครงสร้างของสังคม   แต่มุ่งหวังว่า  จะไม่ก่อสงครามกลางเมืองที่รุนแรง  เสียเลือดเนื้อเหมือนกับหลายประเทศที่เป็นตัวอย่างให้เราเห็นและศึกษา 
                หากจะนำ "ความรู้สึก" เข้ามาเป็นเครื่องมือวัดอารมณ์ของการต่อสู้ระหว่างพรรคการเมืองและระหว่างคนเสื้อสีแล้ว    คิดว่าน่าจะเย็นลงและสีเสื้อจางลง-ไม่เข้มเหมือนกับที่ผ่านมา 
                ยกเว้นแต่จะมีการ "สุมไฟ" เข้าไป   ทั้งด้วยการกระทำและคำพูด   หรือผลประโยชน์อื่นใด... 
                ยกตัวอย่าง "เงื่อนไข" ที่จะเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี อาทิ รัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ ปากก็ว่าจะสร้างความสมานฉันท์แต่ในการปฏิบัติ "ลับหลัง" ก็วางเพลิงด้วยการสร้างขบวนการทำลายล้างศัตรู  ยั่วยุด้วยการป้ายสี   สร้างกระแสให้เกิดขึ้นในสังคมด้วยสื่อของรัฐบ้างและสื่อเอกชนที่เป็นพรรคพวกบ้าง 
                อย่างนี้นโยบายของคุณอภิสิทธิ์ที่ประกาศว่า จะสร้างความสมานฉันท์ก็ล้มเหลวดังปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรมมาแล้ว   หรืออาจจะมองอีกมิติหนึ่งได้ว่า  เป็นการสร้างกลยุทธ์เพื่อทำลายล้างศัตรูทางการเมืองให้ "สิ้นซาก"   ก็อาจจะเป็นไปได้ 
                สื่อมวลชนทรงพลังอำนาจยิ่งในยุคสังคมการสื่อสาร สามารถสร้างมติมหาชนและความเปลี่ยนแปลงขึ้นในสังคมย่อมจะต้องพินิจพิจารณาใคร่ครวญให้รอบครอบและหมดจด   ไม่ตกเป็นเครื่องมือโดยไม่รู้ตัวทั้งจากอำนาจรัฐและอำนาจทุน    ยิ่งการนำองค์การอย่างสมาคม  สหภาพหรือองค์การอื่นใดเกี่ยวกับสื่อมวลชนเข้าไปผูกโยงกับเกมทางการเมืองยิ่งจะต้องออกห่างเพราะมันไม่ใช่ "กิจของสงฆ์" 
                ยกเว้นแต่จะตกอยู่ภายใต้ทฤษฎี "สมรู้ร่วมคิด" กันเท่านั้น   สื่อที่รักอย่าเอาตัวอย่างจาก "เทพทือกกับเนวิน" เลย  (สัปดาห์หน้าว่าด้วยรายละเอียดของทฤษฎีการสมรู้ร่วมคิด)
 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น